วันที่ 31 ธันวาคม 2551 (ที่ไม่ใช่ 2008)
วันนี้นั่งอยู่บ้านพร้อมฟังเพลงหลายเพลงที่ชอบ แล้วก็นั่งทบทวนว่าทั้งปีที่ผ่านมา ตัวผมได้ทำอะไรบ้าง พอได้ความว่าปีที่ำกำลังจะผ่านไปนี้ ผมเองได้ประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่มีค่า ทั้งๆที่หลายเรื่องเต็มไปด้วยความโหดร้าย และ น่าเศร้า
การเมืองปีที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นปีที่ตกต่ำที่สุดของประเทศไทย ความแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าตั้งแต่เกิดมาจนอายุสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว ผมยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมจะไม่พูดถึงเรื่องการเมืองมากเกินไปนัก เนื่องด้วยผมเลือกข้างแล้ว และอยู่ในข้างที่สูญเสียเป็นอย่างมากจากรายการสังหารโหดของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ในวันที่ 7 ตุลาคม ผมไม่เคยร่วมชุมนุมกับใครมาก่อน และแม้จะแอบเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของม็อบรักชาติ รักสถาบัน แต่ก็ไม่เคยไปร่วมชุมนุม แม้แต่ครั้งเดียว จนมาเมื่อน้อง โบว์ เสียชีวิต และ พี่น้องคนไทยด้วยกันเองบาดเจ็บ หลายร้อยคน จากการกระทำของฆาตกรชุดกากี ผมก็เข้าร่วมชุมนุมเป็นครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ผมอยากบอกว่าผมกลัวตายนะ แต่วันนั้นหลังจากดูรายงานข่าวของช่องที่่ไม่บิดเบือนแล้ว ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า "นี่มันห่าอะไรกันวะ ฆ่าคนไร้ทางสู้ แล้วยังมาป้ายสีพวกเขาอีก" เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกจากบ้านไปที่ ทำเนียบฯ และเข้าร่วมชุมนุมนับตั้งแต่วันนั้น
บ้านเมืองเราตอนนี้วิปริตผิดไปจากแต่่ก่อนมากนัก ผู้คนที่เห็นการตายของเพื่อนร่วมชาติด้วยกัน กลับรู้สึกสะใจและดีใจ เพียงเพราะพวกที่ตาย "ไม่ใช่พวกเดียวกัน" ผมเองตอนได้ข่าวเสื้อแดงตาย ผมเองยังรู้สึกสงสาร ที่คนเหล่านี้โดนหลอกมาด้วยเงินไม่กี่ร้อยบาท แต่ต้องมาจบชีวิตเพราะความชุ่ยของกลุ่มคนที่พยายามเสี้ยมให้เกิดเรื่อง ผมไม่เคยคิดว่าการตายของคนๆหนึ่ง จะน่าดีใจที่ตรงไหนเลย หากแต่มันเป็นเรื่องที่ควรมีคำถามมากมายในการตายแต่ละครั้ง "เขาเป็นใคร" "ตายยังไง" "ใครทำ" ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลับถูกละเลยและมองข้ามจากรัฐบาล (เฮงซวย) พวกนี้ทำงานตามใบสั่ง มองชีวิตประชาชนเป็นเบี้ยในกระดาน ที่จะใช้เพื่อสำเร็จความใคร่ให้กับตนเอง การเมืองหากปกครองด้วยความกลัว ประชาชนจะลุกฮือ ขึ้นมาตอบโต้การกระทำของรัฐมากขึ้น และมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากชีวิตจริงในปีที่ผ่านมา
หลังจากวันที่ 7 ตุลาคม ผมไปที่ทำเนียบฯ พบว่าพี่น้องที่ไปชุมนุม ไม่ได้กลัวการกระทำอันต่ำช้าของเจ้าหน้าที่รัฐเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหลั่งไหลเข้าทำเนียบ จนถนนทุกสายดูน่าอึดอัด และหาที่เดินสะดวกๆ แทบไม่ได้ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เออดีเว้ย ไม่กลัวตายกันเลย" นี่เป็นความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ พวกเขาเข้ามาทำเนียบมากขึ้นเพื่อ "ท้าอธรรม" นี่คือความคิดของวิญญูชน ครั้งแรกของการชุมนุมอย่างจริงจังของผม (ก่อนหน้านั้นเคยไปกับเพื่อนที่สะพานมัฆวาน สมัยมหาวิทยาลัย แต่ไปแบบปิคนิค ไปเอาบรรยากาศ) ผมสัมผัสถึงความเป็นครอบครัวใหญ่ที่ทำเนียบ ทุกคนมาอยู่รวมกัน มองผู้ปราศัยอย่างแน่วแน่ และมีปฏิสัมพันธ์ทุกครั้ง เมื่อผู้ปราศัย กล่าวข้อความที่โดนใจ นี่คือม็อบที่มาด้วยใจ สื่อใจผู้พูด กับ ใจผู้ฟังถึงกันอย่างไม่ต้องนัดแนะ และไม่ต้องมีเชียร์ลีดเดอร์ ผมเจอพ่อค้าวาณิช นำของเข้ามาแจก เป็นอาหารบ้าง ยาบ้าง น้ำบ้าง กระทั่งขนม ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วมาแต่ทุนรอนของตนเองทั้งสิ้น
สำหรับการชุมนุมครั้งแรกผมยังออกอาการเคอะๆเขินๆ แปลกที่แปลกทางอยู่บ้าง แต่ก็ได้ตัดสินใจบริจาคเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใ้ห้เป็นทุนรอนในการดำเนินการต่อไป ผมออกจากที่ชุมนุมราวๆ ห้าโมงเย็น ซึ่งตอนนั้นมีคนสวนกับผมเข้าไปเยอะมาก ยิ่งตกเย็นคนยิ่งเข้ามามาก ทำให้ผมรู้ว่าประเทศไทยยังมีหวัง คนเหล่านี้คือคนกล้าที่ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบทหาร หรือ ตำรวจ แต่มีใจกล้าหาญมากกว่าคนเหล่านั้นมากนัก ด้วยว่าพวกเขามาด้วยสองมือเปล่า อาหารสำหรับแบ่งปัน น้ำใจที่มีให้กันเหลือเฟือ การพูดจาปราศัยกันระหว่างคนที่เข้ามาชุมนุมก็เป็นไปด้วยความคิด และสามารถจำแนกแยกแยะถึงเหตุผลในการที่ตนเองเข้ามาอยู่ในทำเนียบฯได้อย่างชัดเจน ผมมีโอกาสคุยกับป้าคนนึง แกเป็นคนไม่ค่อยมีสตางค์ แต่แกก็มาอยู่กับกลุ่มนี้ได้กว่า สี่เดือนแล้ว ที่สำคัญแกมาจากเชียงใหม่ (555) ผมเองได้ความรู้เพิ่มขึ้น แกบอกว่าแกไม่ชอบอดีตนายกฯ หน้า square shape เพราะว่าที่บ้านแกลูกหลานจนลง เงินที่อดีตนายกฯ คนนี้เอามาให้เป็นเงินที่ทำให้บ้านแกสบายได้ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เป็นหนี้หัวบานกว่าเก่าอีก แกมาสู้เพื่อลูกหลานของแก คนหนุ่มสาวที่บ้านต้องปากกัดตีนถีบ แกแก่แล้วแกไม่กลัวตาย และที่สำคัญคือแกทนไม่ได้ที่อดีตนายกฯ จาบจ้วงในหลวงอันเป็นที่รักของแก แกเป็นคนๆหนึ่งที่ได้รับอนิสงฆ์จากโครงการหลวง ดอยอ่างขาง แกรู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อพสกนิกร นี่คือบทเรียนชีวิตจริง ที่การชุมนุมนี้มีให้กับผม
ผมจะไม่ลงลึกไปถึงเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ ที่รัฐบาลชั่วช้าภายใต้การควบคุมของอดีตนายกฯหนีคดีทำไว้ เพราะมันจะหนักไป ผมอยากเพียงเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกในการชุมนุมเท่านั้น
สิ่งที่ได้มาจากการชุมนุมคือ
1. ม็อบมาด้วยใจ "เงินซื้อไม่ได้"
2. ม็อบมาด้วยใจ รักชีวิต แต่ไม่กลัวตาย หากการตายนั้นเป็นไปตามอุดมการณ์ และสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าถูกต้อง
3. ม็อบนี้พยายามทำสิ่งที่รัฐบาลควรจะทำ แต่เสือกไม่ทำ เช่น การเรียกร้องความโปร่งใสสุจริต การขับเคลื่อนสังคมด้วยคุณธรรมเป็นตัวนำ ไม่ใช่เิงิน และ ที่สำคัญคือปกป้องสถาบันสูงสุด อันเป็นรากฐานของวิถีชีวิตคนไทย
4. ม็อบที่มีพลวัฒน์ขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ และไม่เคยทิ้งความเชื่อของตนเอง
5. เป็นม็อบที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะสื่อของรัฐ (ช่อง โนN บิB ตะT) บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จนช่องนี้กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเป็นช่องทางสร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมอย่างวิกฤตที่สุด (ภายใต้ผู้เสนอข่าว itv เดิม ซึ่งเป็นกลุ่มคนรับใช้อดีตนายกฯหนีคดี)
6. เป็นม็อบที่ฝากท้องเวลาหิวได้ คือ อยากบอกว่า ขนมครกอร่อยมากครับ ถึงผมจะไปกินไม่บ่อย แต่ผมขอชมว่าอาหารอร่อย แถมคนตักให้ก็ยิ้มแย้ม ผมรู้ว่าเหนื่อย แต่ทำงานด้วยใจยังไงก็มีความสุขครับ
7. เป็นม็อบที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายมากเลย ประมาณสักแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นหญิง หรืออาจมากกว่านั้นซะด้วย ทำให้รู้ว่ายามเอาจริง ผู้หญิงก็สู้ได้ดีกว่าผู้ชายด้วยซ้ำในหลายๆเรื่อง ขอคารวะครับ อ่อมีน่ารักไม่น้อยเลยนะ (อันนี้แอบเหล่ไว้เหมือนกัน)
8. เป็นม็อบที่คุยด้วยรู้เรื่องมากสุด แกนนำบอกว่าให้ทำอะไรก็รีบทำ แกนนำบอกว่าอย่าทำก็ไม่ทำ อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และรู้สึกทึ่งมากๆ ที่โดนโจรกากีกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ตอบโต้ เพราะถ้าตอบโต้จริง โจรกากีตายเป็นเบือแน่ ผมเข้าใจว่านี่คือการสร้างหลักความชอบธรรมให้กับผู้ชุมนุม ผมขอปรบมือและคารวะจริง ๆครับ
จริงๆอาจมีข้ออื่นอีกมาก แต่จะไม่ขอพูดถึง เพราะขี้เกียจพิมพ์แล้ว เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ร้ายๆ ปนๆกันไปในหัวของผมเองดีกว่า ผมขอขอบคุณ พันธมิตร ที่พวกคุณกล้าท้าทายความทุกข์ยาก โดยเอาความถูกต้องเป็นหลักนำหน้า ผมขอประณามความเลวร้ายของรัฐบาลภายใต้การกระทำอันเลวร้ายต่อเพื่อนร่วมชาติ อย่างขี้ขลาดและโหดร้าย ทั้งทักษิณ สมัคร และ สมชาย และผมขอไว้อาลัยกับสื่อ NBT ช่องสาม (สรย้วย) ที่บิดเบือนข่าว สร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคม ทำคนดีให้ดูเลว และทำคนเลวให้พ้นผิด เพียงเพื่ออำนาจ เงินทอง
ก่อนจะถึงปีใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมหวังใจว่า (ไม่ใช้คำว่า "ขอ" นะครับ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือจะดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว ญาติมิตร ประสบโชคดี มีความสุข ไม่เจ็บไม่ไข้ และสามารถฝ่าฟันเศรษฐกิจในปี 2552 ไปได้ครับ
วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551
สมัครสมาชิก:
ความคิดเห็น (Atom)