ไช่ฉิน คือ นักร้องชาวไต้หวัน (หาอ่านประวัติของเธอจากเว็บอื่นนะครับ) ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงร่วมสมัย และเพลงแนว โฟล์คซอง ไช่ฉิน ไม่ใช่เพิ่งดังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เธอเป็นนักร้องที่ยืนหยัดในการแนวการร้องเพลง พ็อพ และ แนวเสียงต่ำ มานานแล้ว หากถามคนจีนในไต้หวัน นักร้องที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนในไต้หวัน หลัก ๆ มีอยู่สามคน หนึ่ง คือ ฟ่งเฟยเฟย สองคือ เติ้งลี่จวิน และ สามก็หนีไม่พ้น ไช่ฉิน ผมยังไม่ขอพูดถึง ฟ่งเฟยเฟยก่อนนะครับ เพราะเธอคนนี้ประวัติยาวนานเช่นกัน
หากใครเคยสัมผัสงานเพลงของไช่ฉิน ตั้งแต่ ยุคเธอยังสวมแว่นตาถ่ายปกแผ่นเสียง จนมาถึงยุคนี้ที่ยิ่งอายุมากยิ่งสวยกว่าแต่ก่อน ก็จะรับทราบถึงพัฒนาการในตัวบทเพลงของเธอได้เป็นอย่างดี ความจริงแล้ว สำหรับผม การร้องของเธอไม่ได้พัฒนามากมายจนกลายเป็นคนละคนกับที่ผมเคยรู้จักเมื่อครั้นผมยังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือ เนื้อหาภาคดนตรี และ ภาคการบันทึกเสียงต่างหาก
ความจริงแล้ว ไช่ฉิน ร้องบทเพลงเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้ตั้งกี่เที่ยวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลวี่เต่าเสี่ยวเยียะฉี่, ปู้เหลี่ยวฉิง, ซานเหนียน, หนี่ตีเหยี่ยนเซิน ฯลฯ พวกนี้ล้วนได้รับการร้องใหม่บันทึกใหม่ จนผมมีเกือบครบทุกเวอร์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นพ็อพตลาด ยันยกระดับมาทำเป็นเพลงแจ๊ส สิ่งหนึ่งที่แฟนไช่ฉินตัวจริงปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พวกเขามักจะเต็มใจซื้อ ไม่เคยอิดออดเลยแม้แต่น้อยที่จะซื้อเพลงเก่ามาเล่าใหม่ (อีกแล้ว) ของเธอเลย สาเหตุก็คือ เพลงเก่าเหล่านี้ล้วนเป็นเพลงที่สวยงาม ทั้งเนื้อหา และท่วงทำนอง ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม เธอได้ให้คำจำกัดความใหม่สำหรับเพลงจีนที่เธอได้ร้องไว้ ทั้งในยุคทศวรรษ 80, 90 จวบจนปัจจุบัน ว่าเพลงอมตะ จริงอยู่ว่าเพลงที่เธอร้องไม่ใช่เพลงที่แต่งใหม่ขึ้นทุกเพลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพลงเหล่านั้นกลับมามีความหมายและโลดแล่นอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้งด้วยเสียงร้องของเธอ นอกจากนี้ด้วยอิทธิพลความดังของเพลงที่เธอร้อง ทำให้เกิดการ cover เพลงนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จากศิลปินรุ่นใหม่อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อู๋กัง ขงลี่ ฯลฯ
ผมรู้จักเพลงของเธอครั้งแรก สมัยผมเรียนชั้นมัธยมต้น แม่ผมดูละครซีรี่ส์ไต้หวัน ของ ฉวงเหยา ผมได้ยินเพลง "ไจ้สุ่ยอิ๊ฟัง" (อยู่คนละฟากฝั่งน้ำ) ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมรู้สึกหดหู่มาก ทั้งๆที่ผมไม่รู้ความหมายของเพลงนี้เลยแม้แต่น้อย จนพออายุเยอะขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มกล้อมๆแกล้มๆ ถามแม่ เรียนภาษาจีนจากการสนทนาในบ้าน จนมารู้ความหมายเพลงนี้เต็มๆ ยิ่งทำให้รู้สึกชอบเพลงนี้ขึ้นมามากกว่าเก่า เพราะเนื้อเพลงเขียนไว้ดีมาก เปรียบคนที่รักกันแต่ไม่สมปรารถนาว่า เหมือนยืนกันคนละฝั่ง มองเห็นกัน แต่ใกล้ชิดไม่ได้ (อย่าบอกผมว่าก็พายเรือไปหาดินะ) มันเป็นอารมณ์เพลง
จนมาโตขึ้นอีกหน่อยก็ได้ฟังเพลงของ ไช่ฉิน มาเรื่อย ๆ ทั้งแบบรวมห่อขายเน่าๆ ที่ เอพีเอส ทำขายเป็นแผ่นคู่ และ งานระดับบันทึกเสียงดี ๆ งานใหม่ ๆ ที่พ่อผมดั้นด้นไปหามาจากไต้หวัน ครั้งที่กลับไปเยี่ยมเกาะนี้ (ย้ำอีกครั้งไต้หวันไม่ใช่ประเทศ) ทำให้เห็นพัฒนาการหลายอย่างของเธอ มาช่วงยุค 2000 ต้นๆ เธอมีการเปลี่ยนแปลง ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเธอต้องการ หรือ เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว เธอเริ่มร้องเพลงดังๆของเธอในอดีตใหม่หมด ด้วยการบันทึกเสียงในระดับ ออดิโอไฟล์ การเรียบเรียงดนตรี และเสียงประสาน แปลกไปจากเดิม จนทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ปนไม่ชอบนิดหน่อย เพราะว่างานนั้นออกมาดูเหมือนว่าเธอจะตั้งใจร้องเกินไป ทำให้อารมณ์เพลงมันไม่ธรรมชาติเท่าที่ควร แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับดี แต่ผมไม่ชอบเท่านั้นเอง
ไฉ่ชินก็ยังคงเสนองานแบบนี้ต่อมาอีกชุด ทีนี้ก็ "โป๊เชะ" ผมเลยครับ ถ้าท่านเคยดูหนังเรื่อง Infernal Affair ภาคแรก (ที่ เหลียงเฉาเหว่ย เล่นกับ หลิวเตอะหวา) แล้วจำฉากที่พี่หลิวเดินเข้าไปร้านขายเครื่องเสียงของ เฮียเหลียงได้ เพลงที่ใช้เทสต์เครื่องเสียงนั่นแหละ ที่ทำให้ผมสะดุ้งโหยงอีกครั้ง เพลงนั้นชื่อ เพลงแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า "ความทรงจำที่ถูกลืม" ร้องว่า "ซรื่อ เสรย ไจ้ เชียว เต้า หว่อ ชวัง" แปลว่า ใครนะที่มาเคาะหน้าต่างของฉัน นั่นแหละครับ เสียงนั้นตอนดูในโรงเหมือน กับ เสียงนางฟ้าลอยมาจากไหนไม่รู้ แต่จริง ๆ แล้วเพลงนี้ และเวอร์ชั่นเดียวกันนี้ ผมซื้อไว้นานแล้ว เพียงแต่พอดูในโรงหนัง อารมณ์มันแตกต่างกัน จึงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากับเพลงนี้โดยฉับพลัน จนดูหนังจบก็กลับบ้านไปค้นเวอร์ชั่นนี้ออกมาฟังใหม่
นี่เป็นครั้งแรกที่ผมบอกกับตัวเองว่า สงสัยต้องติดตามงานของเธออีกครั้งแล้ว เนื่องจากผมเองบอกตรงๆว่า ไม่ได้เป็นสาวกตัวจริงเสียงจริงของเธอในช่วงเวลานั้น ผมขี้เกียจซื้อเพลงเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาบ่อย ๆ เพราะไม่มีเงินมากพอจะทำ แผ่นแท้ออกสังกัด วอร์เนอร์ คิดเป็นเงินไทย ปาไปร่วมพันบาท เพราะบันทึกในแบบ ออดิโอไฟล์แท้ รับรองไม่มีถูกแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าถ้าเธอขืนยังไม่ออกงานเพลงชื่อเพลงใหม่ๆ ก็จะไม่ซื้อแล้ว (มีงอนนิดหน่อย) แต่เพลงนี้เพลงเดียว ช่วงเวลาที่เปิดเพียงไม่นานในโรงหนัง มันเหมือนทำให้ผมพบเจออะไรที่ผมไม่เห็นในงานทำซ้ำของเธอ
จากหนังเรื่องนี้ ทำให้เธอเกิดอย่างเต็มตัวที่ฮ่องกง เนื่องด้วยฮ่องกงคนส่วนใหญ่ยังสื่อสารกันด้วยภาษากวางตุ้งเป็นหลัก แต่ก็มีแฟนเพลงของเธอไม่น้อยในฮ่องกง แต่ถ้าเทียบเป็นปริมาณการขายก็ยังถือว่าไม่ใช่เบอร์ต้น ๆ แต่เมื่อหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในฮ่องกง ก็ผลักดันให้บทเพลงของเธอ ดังเป็นพลุแตก หากใครมีดีวีดี คอนเสิร์ตของเธอ (ปี 2007) คุณฟังดีๆ นะครับ จะเจอเธอกล่าวคำขอบคุณ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เข้ามานั่งฟังอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ และหากเก็บรายละเอียดจะรู้ว่า เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะมาเปิดคอนเิสิร์ตเต็มตัวในฮ่องกงได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ต่อให้เธอดังมากแค่ไหนก็ตาม ก่อนหน้านี้เธอก็ยังไม่เคยออกมาเดี่ยวคอนเสิร์ตต่อหน้าชาวประชาฮ่องกงมาก่อน
ผมเก็บงานของเธอทุกชุดหลังจากนั้น และกลับไปเก็บก่อนหน้านั้นอีกนิดหน่อย ทั้งชุด Golden Voice 1 และ 2 และงานที่ทำกับ Chris อันนี้มีกวางตุ้งปนมาด้วย และอีกหกเจ็ดชุดที่ออกมาพรวดพราด ราวกับจะรองรับความดังของเธอไม่ไหวแล้ว ทุกชุดล้วนมีจุดขายที่แตกต่างกัน ดีบ้าง ไม่ดีบ้างปน ๆ กันไป จนมาถึงชุดที่ออกปี 2007 Concert Hall ตอนนั้นผมไปฮ่องกงพอดี และได้ซื้อตอนที่อัลบั้มนี้ออกวางแผงใหม่ๆ เป็นแนวขาย ซีดี และ ดีวีดี คู่กันในกล่องเดียว คุณเชื่อหรือไม่ว่า ร้านขายซีดีทุกร้านในฮ่องกง เปิดแผ่นนี้มันทุกร้าน ถึงคุณไม่ชอบเธอก็ต้องฟัง ขนาด เจ โชว์ ออกอัลบั้มใหม่ไล่เลี่ยกัน ก็ไม่ไ้ด้เห็นการโปรโมทเท่า ไช่ฉิน นี่ถือว่านักร้องคุณภาพรุ่นใหญ่ กินขาด นักร้องวัยรุ่นปัจจุบัน แบบเต็ม ๆ
เพลงในชุดนี้มีการเรียบเรียงเสียงประสานของไลน์เครื่องสายอย่างงดงามมาก ทำให้ทุกเพลงรู้สึกได้ถึงความสด ในภาคดนตรี ผมจะไม่พูดถึงเสียงนักร้องนะครับ เพราะละไว้ในฐานที่ซื้อเพราะเสียงนักร้องนี่แหละดีวีดีที่ขายมาด้วยกันก็เป็นมิวสิควีดีโอ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้ การถ่ายทำก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นรูปเธอร้องเพลง แล้วก็มีนักดนตรีเล่นอยู่ ไม่หวือหวา ไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดาร แต่เน้นไปที่อารมณ์ การร้องเพลงที่แสดงผ่านสีหน้าของเธอมากกว่า
อัลบั้มนี้น้องสาวผมลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี เพราะยืนฟังหน้าร้านด้วยกันกับผม แต่น้องผมเห็นว่าผมซื้อแล้ว ก็เลยกะขอก็อป วันสุดท้ายที่ต้องกลับ น้องผมก็เปลี่ยนใจวิ่งไปซื้อที่ร้าน แต่เจ้ากรรมคือ ร้านยังไม่เปิด ทั้งๆที่พนักงานขายมาเปิดร้านแล้ว แต่บอกน้องผมว่า ยังไม่สิบโมงเช้ายังไม่ขาย น้องผมเลยต้องยืนแกร่วประมาณสิบห้านาที พนักงานขายเปิดเครื่องคิดเงินบิลแรกของวันนั้น ก็ซีดีแผ่นนี้แหละที่น้องผมซื้อ
จนผมกลับมาแล้วผ่านไปสักประมาณ สี่ห้าเดือน แผ่นแท้ของชุดนี้จึงเข้ามาขายในไทย ในสนนราคาที่เท่ากันเป๊ะกับที่ผมซื้อที่ฮ่องกง ผมไม่รู้ว่าคนไทยจะชอบชุดนี้ไหม แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมเปิดฟังบ่อย โดยเฉพาะ แทรคที่สามเนี่ยอย่างโดน
ระหว่างปี 2008 เธอยังคงออกอัลบั้มมาอีก หนึ่งหรือสองชุด ผมไม่แน่ใจ แต่ที่ผมจะเขียนถึงเป็นอัลบั้มสุดท้ายของบทความนี้คือ อัลบั้ม Without Regret แปลเป็นฝรั่งแล้ว ตามเว็บ yesasia งานชุดนี้ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่โดยแท้ อัลบั้มออกวันที่ ยี่สิบ พฤศจิกายน ผมมาได้อัลบั้มนี้งานก็อปจีนแดง ประมาณวันที่ สิบห้า ธันวาคม ฟังทันที หกเพลงแรก เพราะสี่เพลงสุดท้าย เพลงเก่าตามเคย แต่เป็นเวอร์ชั่นแสดงสด
อยากบอกว่า ชอบมาก ทั้งหกเพลง ผมไม่ได้อ่านรายละเอียดว่าใครเป็นคนจัดการ arrange เพลงทั้งหมดหกเพลงนะครับ แต่ขอบอกว่า ฝีมือมากครับ ถ้าใครได้ฟังจะชอบตั้งแต่เพลงแรก ๆ เลย ประการแรกคือ เพลงทั้งหกเพลงไม่ใช่เพลงที่ทำซ้ำบ่อยๆ จนเราชินหูกัน แต่มันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ และ ละคร เก่าทั้งหมดเก้าเพลง (สี่เพลงแสดงสด) รวมกับเพลงใหม่ที่แต่งเพิ่มอีกหนึ่งเพลง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับอัลบั้มชุดนี้คือ เพลงที่เลือกมาร้องบันทึกเสียงใหม่ หกเพลง เป็นเพลงที่ผมไม่คุ้น หรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ความจริงผมชอบทั้งหกเพลงเลยนะครับ เพราะเนื้อหากับดนตรี ทำออกมาเป็นแนว ไช่ฉิน ยุคใหม่ ที่ไม่ใช่แจ๊ส แต่เป็นแนวเครื่องสายสากลมาตรฐาน (ไม่ใช่วงซิมโฟนี่ฯนะครับ) เป็นแค่ระดับวงแชมเบอร์ที่เน้นความสดในเครื่องสายขอบคุณสำหรับภาพหน้าปกจาก www.yesasia.com