วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ไหมไทย เพลงชีวิตของเด็กแว่น (ภาคแรก)

ผมขอบอกไว้ก่อนจะอ่านบทความนี้ว่า ถ้าท่านชื่นชอบ K-Otic หรือ Nice to meet you หรือ บี้เดอะสตาร์ ท่านอาจจะอ่านบทความนี้ได้ไม่ถึงครึ่งก็จะเลิกอ่าน เพราะฉะนั้น ถอยตอนนี้ยังทันนะครับ

ผมเชื่อว่า ณ วันนี้หากถามคนเดินถนนสักคนว่า รู้จักวงไหมไทยไหม ท่านจะได้รับคำตอบว่า อ๋อ รู้จัก ไหมไทย ใจตะวันไง เพราะผมเคยโดนคำตอบแบบนี้มาแล้ว สามครั้ง จากร้านขายซีดีสามแห่ง วงไหมไทย กับ ไหมไทย ใจตะวัน มันเป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง อันนี้ต้องไปศึกษาเรื่อง การเรียนรู้ และระบบความคิดของคนกันต่อไป แต่เอาเป็นว่า วงไหมไทย ที่ผมจะเขียนนับต่อจากนี้ไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ไหมไทย ใจตะวัน นักร้องลูกทุ่ง เลยสักนิด


(อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล)

วงไหมไทยก่อตั้งราว ๆปี 2530 (ตามประวัติที่ค้นได้) โดย อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล ซึ่งก่อนหน้านี้อาจารย์มีงานเพลงออกบ้างแล้วเช่น ชุดเรามาร้องเพลงกัน โดยได้ คุณ เต๋อ เรวัิติ พุทธินันท์ มาร้องนำในชุดนั้น โดยหน้าปกจะเป็นดังรูป

เพลงในชุดนี้มีทั้งหมด 11 เพลง ซึ่งดูรายชื่อเพลงดูเอาจากปก (เอียงคอหน่อยนะครับ ถ้าสนใจจะรู้) งานชุดนี้ถือเป็น Master Piece สำหรับดนตรีไทยสากล ในความคิดผมจนถึงทุกวันนี้ วงคีตกวี ความจริงแล้วคือ วงดนตรี "ภาคีวัดอรุณ" (The Temple of Dawn Consort) ซึ่งวงดนตรีวงนี้ได้ก่อตั้ง โดยมีสมาชิกคนสำคัญ คือ ดนู ฮันตระกูล, สุรสีห์ อิทธิกุล, จิรพรรณ อังศวานนท์, อัสนี โชติกุล, กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา, อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ และคุณเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ (ล่วงลับไปแล้ว) ทั้งหมดปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ ในสายงานดนตรีไทยสากล งานทั้งสิบเอ็ดเพลงนี้ คุณ เต๋อ ร้องออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้เสียงของคุณเต๋อ ไม่เหมือนกันเลยสักเพลง โดยเฉพาะเพลงทุกๆคน(เป็นคนดี)

เนื้อหาของทั้งสิบเอ็ดเพลงออกแนวเพลงปรัชญา ให้ข้อคิด และให้เราคิด ไม่ใช่เพลงรักเฝือฝายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพลง ดนตรี คีตา (เวหาจักรวาล) หากฟังแบบค่อนข้างจะซีเรียส คุณจะพบการบอกถึงพุทธธรรม บวกเต๋า บวกเซนอยู่ข้างในเพลงเดียวกัน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนประมาณมัธยม บอกตามตรงว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" สมัยนั้นผมงงกับเพลงทั้งชุดนี้มากๆเลย ผมไม่เข้าใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไรให้ผมฟัง เพลงที่เขียนมักจะออกแนว เป็นวลี ไม่ต่อเนื่อง ฟังแล้วต้องนั่งนึกกันนาน แต่ด้วยปัญญาของเด็กมัธยม (น่าจะต้น) ผมฟังรู้เรื่องแค่สองสามเพลงครับ อย่าง เรามาร้องเพลงกัน ไม่เป็นไร แต่เพลงอย่าง วีณาแกว่งไกว ดนตรี คีตา(เวหาจักรวาล) ดอกไม้ไปไหน และที่สำคัญคือเพลงที่ป้อมเขียน "ทำอยู่ทำไป" ผมหละงงสุดๆ ทั้งเพลงร้อง แต่ ทำอยู่ทำไป ทำไปทำอยู่ สลับกันไปๆมาๆ ท่านที่ไม่มีชุดนี้ ลองไปหาฟังได้ที่ อัลบั้ม เด็กเลี้ยงแกะ ของ อัสนี วสันต์ โชติกุล นะครับ พี่ป้อมพี่โต๊ะเอามาทำใหม่ให้ฟังกันชัดๆอีกที

ผมฟังอัลบั้มชุดนี้เพราะว่า มีพี่ข้างบ้านคนหนึ่งเขาขายเทป แล้วออกแนวค่อนข้างจะศิลปิน ผมซื้อเทปกับแกบ่อยมาก แต่ผมจะซื้อออกแนวเพลงตลาด วันหนึ่งแกเปิดเทปม้วนนี้อยู่หน้าร้าน ไม่ได้ขายนะ ผมก็ไม่รู้แกเปิดเพลงอะไร แต่ผมมาฟังเจอเพลง ดอกไม้ไปไหน เข้าพอดี ผมก็เลยหยุดยืนฟัง จนจบเพลงผมก็พูดก็พูดกับตัวเองว่า "เพลงห่าอะไรวะ ฟังทั้งเพลงแล้วก็ไม่รู้เรื่อง" ผมเลยเดินเข้าไปถามเฮียตี๋ (ชื่อพี่ที่ขายเทป) ว่า ตะกี้พี่เปิดเพลงอะไร พี่เขาก็บอกว่าเพลงของใคร ผมก็ขอให้เขาเปิดอีกครั้ง ผมกับเฮียตี๋ นั่งฟังเพลงนี้ทั้งม้วน ใช้เวลาร่วมกันประมาณเกือบชั่วโมง ปรากฏว่าผมยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ผมมาเจอเนื้อเพลง ดนตรี คีตาฯ เข้าไป ทำให้วันนั้นทั้งวัน ผมรู้สึกว่า นี่เป็นการฟังเพลงไทยครั้งแรก ที่ไม่รู้ว่าคนร้องเขาจะบอกอะไรผม ถ้าท่านอยากรู้ ก็ดูตามเนื้อข้างล่างแล้วกันนะครับ

"ดนตรีคีตา เวหาจักรวาล
ดวงดาวที่เฝ้าขาน ระยิบหวานระยับหาว

หยดน้ำค้างพร่างพราย หยาดประกายพร่างพรม
คล้อยเคลื่อนเลื่อนสายลม ปรอยเมฆฝนหล่นทำนอง

สู่ยอดไม้ใกล้ฟ้า สู่ยอดหญ้าใกล้ดิน
น้ำเชี่ยวที่ไหลริน ลำธารนิ่งที่ไหลลืม

ยอดเขาเงาตระหง่าน ลมไขขานกรรโชกพัด
แพ้วพานผ่านป่าชัฏ สู่ที่สงัดในอาราม

เงียบสงบไม่เงียบเหงา พระธรรมเคล้าเข้าสวรรค์
ศีล สมาธิ ปัญญาพลัน ทำนองสรรค์สุญตา"

เพลงพวกนี้ผมว่าตอนนี้หาตามเน็ทอาจจะเจอ ถ้าสนใจก็ลองดูนะครับ แต่ผู้ที่ฟังอาจต้องใช้สมาธิในการฟังมากๆ เพราะเนื้อหา และดนตรีเหล่านี้สวยงามมาก เต็มเปี่ยมไปด้วย แนวคิด ปรัชญา ศาสนา และความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ถ้าท่านสามารถเข้าถึงได้ ท่านจะรู้สึกเหมือนมีคนไขกุญแจให้ท่านเดินเข้าไปพบด้านดีๆ ของมนุษย์ แต่ก่อนหน้านั้นอย่าเพิ่งถอดใจไปซะก่อนหละครับ เพราะว่าของดีมีไว้ให้เพียงแต่คนที่รู้จักคุณค่าเท่านั้น

หลังจากงานชุดนี้ อาจารย์ ดนู ก็ไปทำงานด้านเพลงมากขึ้น โดยการเปิดบริษัท บัตเตอร์ฟลาย และ โรงเรียนศศิลิยะ และให้กำเนิดวง
ไหมไทย ออร์เคสตร้า

สำหรับผมแล้วผมไม่ได้ฟัง ไหมไทย เรียงตามลำดับ ผมโผล่เข้ามาฟังไหมไทย ก็ปาเข้าไปชุดที่สามแล้วครับ โดยหน้าปกรวมที่ผมถ่ายเอง ไหมไทยในยุคต้นก็จะเป็นดังภาพข้างล่างนะครับ ผมอาจเรียงลำดับก่อนหลังผิด แต่ก็คิดว่าราวๆนี้แหละครับ


จากซ้ายไปขวาแถวบน
ชุด ชีพจรลงเท้า (THE JOY OF TRAVEL TALES FROM SAIYOK)
ชุด ไหมไทย 2 ทุ่งแสงทอง (Land of Golden Sun)
ชุด ไหมไทย 3 ใต้แสงเทียน (Under The Candlelight)

จากซ้ายไปขวาแถวล่าง
ชุด ไหมไทย 4 เงาไม้ (Wood Shadow)
ชุด จรัล ไหมไทย ลำนำแห่งขุนเขา (เป็นการร่วมงานกัน ระหว่าง คุณ จรัล มโนเพชร และ วงไหมไทย)
ชุด เพลงนิทาน เพลงกวี หยดฝนกับใบบัว

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้ว ผมมาฟังไหมไทยในชุดที่ สาม (หน้าปกอาจารย์ดนู นั่งอยู่กับเปียโน) ความจริงเหตุจูงใจที่ทำให้ผมซื้อเทปชุดนี้มีอยู่สองข้อ คือ ชื่ออาจารย์ ดนู ฮันตระกูล และสอง ผมชอบหน้าปกชุดนี้ ผมไม่เคยฟังเพลงสักเพลงในอัลบั้มชุดนี้ก่อนที่จะซื้อ สำหรับผมเรียกว่าตัดสินใจซื้อคงไม่ได้ มันเป็นความลงตัวที่เกิดอยู่หน้าแผงเทปนั่นแหละครับ ถ้าใครเคยซื้อเทปเพราะว่าปกมันดูดี คงเข้าใจความรู้สึกของผม คือ ซื้อเพราะคิดเดาเอาว่าในเทปคงมีเพลงราวๆนี้อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับไปเปิดที่บ้านจะใช่หรือไม่ใช่มันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ

ผมก็ขอพูดถึงชุด ใต้แสงเทียน (ไหมไทย 3) นี่ก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเป็นเหมือนตัวจุดประกายให้ผมติดตามวงไหมไทย จนถึงทุกวันนี้ (ก็สักสิบกว่าปีได้แล้วมั้งครับ) ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด เก้าเพลง เป็นเพลงเก่าอย่างเช่น ลมหวล วิหคเหิรลม อิเหนา ขวัญเรียม และลาวดวงเดือน และเพลงใหม่อย่าง เพลง สวนอัมพร ภูหนาว และ สนามหลวง เพลงทั้งหมด ถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเมียดละไม ด้วยเสียงเปียโนและ เครื่องสาย ผมรู้สึกว่ามันหวาน แบบมีมนต์ขลังของคืนวันเก่าๆในสมัยก่อน ผมเองเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าการนำดนตรีตะวันตกมาเล่นเพลงไทย หากมีการเรียบเรียงดนตรีให้ดี และเข้าใจความเป็นเพลงไทย เพลงจะออกมาสวยงามมาก ซึ่งสิ่งนี้ผมว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวอาจารย์ดนู

ถ้านับเฉพาะเพลงที่ผมชอบจริงๆ แบบเปิดฟังได้ไม่รู้เบื่อ ก็น่าจะเป็น ภูหนาว กับ สนามหลวง ผมชอบสองเพลงนี้ เพราะว่าเพลง ภูหนาว เป็นการถอดความจากบทกวี ของ กวีรัตนโกสินทร์อย่าง อาจารย์ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ ออกมาให้เป็นเพลง ผมกล้ารับประกันได้เลยว่า เพลงนี้ใครฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันเย็น นิ่ง และ สงบ ให้มาดีดติ่งหูผมได้เลย เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายมาก ไม่ต้องดูชื่อเพลงก็รู้แล้วว่าคนแต่งอยากให้เราร่วมสัมผัสบรรยากาศแบบไหน อย่างไร ตอนผมฟังเพลงนี้จบผมยังรู้สึกอึ้งๆอยู่เลย คือ อารมณ์มันยังไม่กลับมา พอขึ้นเพลงใหม่ มันก็ยังเหมือนลอยเคว้งๆ อยู่พักนึง จึงค่อยกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ ส่วนเพลงสนามหลวง อันนี้ แต่งโดย คุณ สุรสีห์ อิทธิกุล ตอนนั้นผมรู้จักแต่เพียงว่า คุณ อ้อง เป็นหนึ่งในสมาชิกวง บัตเตอร์ฟลาย ที่มีฝีมือมาก แต่ผมมองคุณ อ้อง ออกไปแนวสากล หัวใหม่ และบางทีก็เลยเถิดถึงขึ้นว่า หลุดโลก ด้วยซ้ำ (ลองหางานบัตเตอร์ฟลายเก่าๆมาฟังจะเข้าใจว่าทำไมผมคิดแบบนั้น) แต่เพลง สนามหลวง เพลงนี้เพลงเดียว ทำให้ผมรู้ว่า "ผมคิดผิด" ซะแล้ว

หากใครเคยฟังเพลงนี้จะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า คนแต่งมีความเข้าใจในดนตรีไทยเป็นอย่างดี และสามารถฉายภาพความสำคัญของสนามหลวง ในวันเก่าๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านตัวโน้ตเพียวๆ ไม่ต้องมีเนื้อร้อง มันคือความเป็นไทยในแบบเข้ากันได้กับตัวโน้ตแบบตะวันตก

คุณสามารถหาฟังเพลงตัวอย่าง ของวงไหมไทยได้ที่ http://www.dnunet.com เข้าหน้าแรกให้ดูด้านซ้ายมือ จะมีชื่ออัลบั้มให้คลิก พอเข้าไปจะมีเพลงตัวอย่าง แต่วันนี้ผมขอจบการพูดถึงวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ จะออกไปซื้อของแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อผมรู้จัก The Square

สมัยผมเรียนอยู่ อัสสัมชัญ (บางรัก) ผมมีความใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งผมจะเป็นนักดนตรี แต่เนื่องด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้ผมไม่สามารถเป็นได้ แต่ก็พอเล่นกีต้าร์ได้บ้าง ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นนักดนตรี ผมเรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นหลัก ทฤษฎีสำหรับผม หากมีการสอบก็คงตก วงดนตรีที่มีอิทธิพลต่อผม ในช่วงแรกของชีวิต มีอยู่ หลายวง ไม่ว่าจะเป็น แกรนด์เอ็กซ์ ดิอินโนเซ้นท์ บัตเตอร์ฟลาย คุณเต๋อ (อันนี้เดี่ยว) เบิร์ดกะฮาร์ท ดิอิมพอสซิเบิล (อันนี้ฟังตามคุณพ่อ) และขอเขียนแสดงความอาลัยต่อการจากไปของคุณ ปราจีน ทรงเผ่า (หนึ่งในสมาชิกที่สำคัญของวง ดิอิมพอสซิเบิล)นักดนตรี และนักเรียบเรียงเสียงประสานที่มีฝีมือมากคนหนึ่งของเมืองไทย ส่วนสองวงสุดท้ายนี่คือวงที่ผมอยากจะเขียนถึงมากที่สุด คือ วงไหมไทย และ วง The Square (T-Square ในปัจจุบัน)

ผมจะไม่พูดถึงวงไหมไทย ก่อนนะครับ เนื่องมาจากเป็นวงที่ผมสามารถเขียนถึงได้อีกหนึ่งบทความเต็มๆ จึงขอหยุดเรื่องวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ผมจะเล่าถึงการตกหลุมรักบทเพลงของวง The Square ฟิวชั่น แจ๊ส แบนด์ ระดับตำนานของญี่ปุ่นล้วนๆเท่านั้น

จำได้ว่าสมัยก่อนวงดนตรีประจำโรงเรียน เคยเล่นบทเพลงนึงซึ่งผมฟังแล้วรู้สึกดีมากๆ มันเป็นเพลงที่ให้บรรยากาศที่สนุกสนาน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอน มัธยมปีที่สี่ บทเพลงอื่นที่ เอซี แบนด์เล่น ถึงมันจะเพราะยังไง ผมก็ไม่เคยรู้สึกอยากจะรู้ว่าเพลงนี้ชื่ออะไร จนมาเจอเพลงนี้เข้า ทุกท่อนของบทเพลงนี้แฝงไปด้วยพลัง ไลน์ประสานเสียงที่เข้าออกอย่างเหมาะเจาะ ช่วงโซโลกีต้าร์พริ้วไหวอย่างมีชั้นเชิง (แต่เวอร์ชั่นที่ผมฟังเป็นเครื่องเป่าล้วนๆ) ผมฮัมเพลงนี้ในปากวนไปวนมาหลายรอบ แล้วรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นนักดนตรีเมื่อเล่นจบ สอบถามทันทีว่า ไอ้เพลงที่ผมฮัมอยู่เนี่ยชื่ออะไร ก่อนจะได้คำตอบเพื่อนผมมันยิ้ม (ไอ้นี่ชื่อ อ๊อด เล่น อัลโต แซ็คโซโฟน) มันบอกว่า "Omens of Love" ผมก็ถามต่อไปว่าใครร้องเหรอเพลงนี้ มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า เพลงนี้ไม่มีคนร้องนะ มันเป็นเพลงบรรเลง แล้วมันก็บอกชื่อวงให้ผมทราบว่า ชื่อ "The Square"

ผมมานึกอยากได้เพลงนี้เก็บไว้เปิดไปมาหลายๆรอบเพื่อฟังที่บ้าน ผมก็เลยถามมันว่า "มึงมีเทปให้กูดั๊บไหม" คำตอบคือไม่มี ผมเลยตั้งเป้าไว้ว่าเย็นๆนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผมจะลองแวะไปที่ห้าง เซ็นทรัล สีลม (ตอนนี้ปิดไปแล้ว) หากใครอายุราวๆผม จะพอเข้าใจว่าทำไมผมถึง ไปแผนกเพลงของเซ็นทรัลสมัยนั้น ก็เพราะสมัยนั้น เซ็นทรัล เป็นแหล่งที่มีเทป และแผ่นเสียง แปลกๆให้เลือกซื้อเยอะที่สุดแล้ว การไปครั้งนั้นของผมต้องพบกับความผิดหวัง เพราะคนขายบอกว่าเขาไม่รู้จักวงนี้ ผมเลยเบนเข็มไปที่ เซ็นทรัล ชิดลม (วันต่อมา) แต่ก็ไม่พบเช่นกัน ผมวิ่งไปทุกแหล่งที่คิดว่าน่าจะมีเทปเพลงของวงนี้ขายอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้มา คือ ไม่มี

ผมเริ่มท้อใจในการหาเพลงนี้แล้ว หลังจากใช้ความพยายามอยู่ร่วมสามเดือน แต่แล้วคำว่า Labor Omnia Vincit (ทุกสิ่งทุกอย่างเอาชนะได้ด้วยความพยายาม) ที่อยู่ใต้โล่ห์ ของคณะเซนต์คาเบรียล ก็เป็นจริง ผมเจอจนได้ มันวางขายอยู่ในร้านโซล่า เฮ้าส์ที่สยาม "ผมได้แล้ว ๆ" เทปเพลงสมัยก่อนที่เป็นลิขสิทธิ์ ราคาขายจะอยู่ราวๆ เจ็ดสิบกว่าบาท ซึ่งก็หนักหนาเอาการอยู่สำหรับค่าขนมของผม แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะซื้อ เพราะสิ่งที่ผมตามหามาสักพัก จนเกือบจะเลิกหาแล้ว มันโผล่มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

หน้าปกของชุดนี้จะมีลักษณะเดียวทั้งเทป และ ซีดี(ที่ออกมาทีหลัง) ชื่อชุดคือ รีสอร์ท (RESORT) เพลงทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในชุดนี้มี 9 เพลง ที่ผมจำได้แม่นๆแบบไม่ต้องกลับไปเปิดโพย ก็มี Omens of Love, In the Grid, Prime และ Forgotten Saga ส่วนเพลงที่เหลือผมก็ชอบนะครับ แต่พอดีผมจำชื่อไม่ได้หมด สิ่งที่ผมได้รับหลังจากการฟังชุดนี้แล้วก็คือ "การเปิดโลกดนตรีอย่างใหม่" ให้กับผม สารภาพตามตรงว่า ก่อนมาฟังเพลงของ The Square ผมชอบวงดนตรีไทย มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้ง Butterfly, Grand Ex', The Innocent รวมทั้งคาราบาวด้วย ทุกวงมีเอกลักษณ์ของตนเอง อย่างเช่น บัตเตอร์ฟลาย จะเป็นวงดนตรีที่มีจินตนาการในการนำเสนอและรูปแบบดนตรีที่ค่อนข้างจะหลุดโลก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ แกรนด์เอ็กซ์สำหรับผม คือ เพลงหวาน ซึ้งกินใจ ถือเป็นเพลง แสตนดาร์ด แต่การฟัง ดนตรีแนว The Square มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยฟัง ผมเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า เพลงแนวนี้มีนิยามว่ายังไง รู้แต่ว่าฟังแล้วรู้สึกหัวมันโปร่ง เราไหลไปตามเพลงได้ โดยที่ไม่ต้องมีเนื้อร้อง ท่วงทำนองของเพลงกำหนดความเป็นไปของจิตใจได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยเนื้อร้อง สำหรับผม (ตอนมัธยมสี่) แล้ว ดนตรีแนว ฟิวชั่นแจ๊ส เป็นการทำให้ผมได้รู้จักด้านใหม่ๆของดนตรี

สิ่งที่ผมได้มาพบอีกประการหนึ่งในงานชุดนี้ก็คือ เพลง Forgotten Saga เพลงหวานและสวยเพลงหนึ่งเท่าที่ผมเคยฟังมา ได้มีวงดนตรีไทยเอาทำนองมาใช้และใส่เนื้อร้องไปแล้ว พอได้ฟังท่อนแรกของ Forgotten Saga ผมก็อุทานกับตัวเองว่า "อ้าวเฮ้ย นี่มันเพลงกระดาษขาวนี่หว่า" หากใครพอจะรู้จักวงดินสอดำ สมัยกระโน้น ที่มีคุณ กริช ธอมมัส ร่วมวงอยู่ คงเคยได้ยินเพลงที่ร้องว่า "จากใจความถอดไว้ ใส่บนความขาวของกระดาษ ลายมือไม่สะอาดอย่าสนใจ......" เพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้ในโฆษณาขายเทปของวงนี้ด้วย กลายเป็นว่า ผมรู้จักเพลง Forgotten Saga ก่อนจะรู้จักต้นฉบับ โดยผ่านเพลง กระดาษขาว นี่เอง

ผมจะไม่บรรยายว่าเพลง ฟิวชั่น แจ๊ส เป็นอย่างไร เพราะของแบบนี้อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ ถ้าอยากรู้จักเพลง ต้องฟังอย่างเดียวเท่านั้น การให้นิยามมันเป็นแค่ทฤษฎี แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณต้อง "Feel" เพลง ไม่ใช่แค่ฟัง

จริงๆเมืองไทยก็มีวงดนตรีที่ทำงานแนวฟิวชั่น แจ๊ส ออกมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาก อยู่วงหนึ่ง คือ วง ดิ อินฟินิตี้ ที่มีนักดนตรี ชั้นเซียนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คุณ ศรายุทธ สุปัญโญ คุณ ชุมพล สุปัญโญ คุณ โก้ เสกพล อุ่นสำราญ(ลาออกแล้ว) ฯลฯ ซึ่งมีงานออกมาให้คนไทยได้ฟังอยู่เสมอ แต่เนื่องด้วยแนวเพลงนี้ไม่ค่อยได้รับการโปรโมท อีกทั้งนักดนตรีหน้าตาไม่หล่อ เลยทำให้วงนี้คงไม่เป็นที่คุ้นหูของเด็กรุ่นใหม่ หรือ ผู้ใหญ่หลายๆคน และหลายๆครั้ง วงอินฟินิตี้ ก็ทำงานออกมาในแบบไม่เอาใจตลาดเลย อย่างเช่น ชุด Together ที่หน้าปกเป็นรูป ช้อนกับส้อม สังกัด โซนี่ ไทย ก็มีเพลงร้องเป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งชุด

หลังจากเบิกฤกษ์ด้วยชุดนี้แล้วผมก็ติดตามงานของ T-Sqaure มาตลอด ในบ้านตอนนี้มีมากกว่าสิบห้าชุด ผมไม่ได้เก็บครบทุกชุด แต่ก็เก็บมากพอที่จะฟังได้อย่างที่ผมคิดว่า ผมเข้าใจว่าวงนี้ทำงานเพลงแบบไหน การเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง ทำให้แนวทางของเพลงเปลี่ยนไปอย่างไร นอกจากติดตามงานเพลงของ T-Square แล้ว ผลงานเดี่ยว ของสมาชิกในวง อย่าง มาซาฮิโระ อันโดะ (หัวหน้าวง) ผมก็ซื้อมาทั้ง ชุด Andy's และ เพลงที่ทำให้กับเกมส์ยักษ์ใหญ่ อย่าง แกรนทัวริสโม่ (GT) ผมอยากบอกว่าไลน์กีต้าร์ของ อันโดะ มีเอกลักษณ์ อาจไม่หวือหวามาก แต่ในความมีระเบียบก็แฝงความปั่นป่วนและกระชากอารมณ์คนฟังให้ขึ้นสูง หรือลงต่ำได้อย่างมีชั้นเชิงทีเดียว

T-Square ในความทรงจำของผมและคิดว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการรวมตัวกันของวงนี้ จะอยู่ราวๆปี 1991-1998 ที่มี

มาซาฮิโระ อันโดะ เล่นกีต้าร์
ฮิโรทากะ อิซูมิ เล่นเปียโน
ฮิโรยุกิ โนริตาเกะ เล่นกลอง หรือ เครื่องเคาะจังหวะ
มิตซูระ ซูโตะ เล่น เบสกีต้าร์
และ มาซาโตะ ฮอนดะ เล่นแซ็กโซโฟน จริงๆ จะมีเทด นัมบะ เข้ามามีบทบาทในช่วงหลังมากขึ้น (แซ็คฯที่มาแทน ฮอนดะ) แต่ผมกลับไม่ค่อยจะชอบแนวของชายร่างใหญ่คนนี้เท่ากับ ฮอนดะ

The Square เป็นเหมือนวงดนตรีที่เปิดโลกทัศน์ในการฟังดนตรีให้กับผม เป็นวงที่มีอิทธิพลต่อการฟังแนวสกา ฯลฯ ที่สำคัญที่สุดวงนี้ได้บอกผมว่า "อย่าหยุดที่จะทำความเข้าใจกับดนตรี มันยังมีอะไรที่คุณยังไม่รู้ ไม่ได้ฟังอีกมาก ถ้าคุณเปิดใจลองฟังดู คุณจะมีทางเลือกมากขึ้น ฟังแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ต้องฟัง แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณได้ให้โอกาสกับตัวเองในการพบเจอสิ่งใหม่ๆ บ้างหรือยัง"

วันเสาร์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2552

ปรากฏการณ์ ไช่ฉิน

ถ้าพูดถึงคอเพลงจีนในบ้านเรา ที่ฟังเพลงเอาความไพเราะ ส่วนใหญ่เราจะรู้จักกันแต่ เติ้งลี่จวิน ซึ่งคนไทยชอบเปิดเพลงของเธออยู่ตลอดเวลา รายการละคร ภาพยนตร์ สารคดี ก็ชอบเอาเพลงของเธอมาเป็นสัญลักษณ์แทนความเป็นจีน แต่ก็มีคนไทยเชื้อสายจีน หรือ คนจีนที่อยู่ในไทยจำนวนไม่น้อยที่ยังคงมีนักร้องในดวงใจมากไปกว่า คุณเติ้งลี่จวิน

ไช่ฉิน คือ นักร้องชาวไต้หวัน (หาอ่านประวัติของเธอจากเว็บอื่นนะครับ) ที่คร่ำหวอดในวงการเพลงร่วมสมัย และเพลงแนว โฟล์คซอง ไช่ฉิน ไม่ใช่เพิ่งดังเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เธอเป็นนักร้องที่ยืนหยัดในการแนวการร้องเพลง พ็อพ และ แนวเสียงต่ำ มานานแล้ว หากถามคนจีนในไต้หวัน นักร้องที่มีอิทธิพลต่อชีวิตคนในไต้หวัน หลัก ๆ มีอยู่สามคน หนึ่ง คือ ฟ่งเฟยเฟย สองคือ เติ้งลี่จวิน และ สามก็หนีไม่พ้น ไช่ฉิน ผมยังไม่ขอพูดถึง ฟ่งเฟยเฟยก่อนนะครับ เพราะเธอคนนี้ประวัติยาวนานเช่นกัน

หากใครเคยสัมผัสงานเพลงของไช่ฉิน ตั้งแต่ ยุคเธอยังสวมแว่นตาถ่ายปกแผ่นเสียง จนมาถึงยุคนี้ที่ยิ่งอายุมากยิ่งสวยกว่าแต่ก่อน ก็จะรับทราบถึงพัฒนาการในตัวบทเพลงของเธอได้เป็นอย่างดี ความจริงแล้ว สำหรับผม การร้องของเธอไม่ได้พัฒนามากมายจนกลายเป็นคนละคนกับที่ผมเคยรู้จักเมื่อครั้นผมยังเป็นเด็ก แต่สิ่งที่แตกต่างไปคือ เนื้อหาภาคดนตรี และ ภาคการบันทึกเสียงต่างหาก

ความจริงแล้ว ไช่ฉิน ร้องบทเพลงเก่าซ้ำแล้วซ้ำอีกไม่รู้ตั้งกี่เที่ยวแล้ว ไม่ว่าจะเป็น ลวี่เต่าเสี่ยวเยียะฉี่, ปู้เหลี่ยวฉิง, ซานเหนียน, หนี่ตีเหยี่ยนเซิน ฯลฯ พวกนี้ล้วนได้รับการร้องใหม่บันทึกใหม่ จนผมมีเกือบครบทุกเวอร์ชั่น ไม่ว่าจะเป็นพ็อพตลาด ยันยกระดับมาทำเป็นเพลงแจ๊ส สิ่งหนึ่งที่แฟนไช่ฉินตัวจริงปฏิเสธไม่ได้ก็คือ พวกเขามักจะเต็มใจซื้อ ไม่เคยอิดออดเลยแม้แต่น้อยที่จะซื้อเพลงเก่ามาเล่าใหม่ (อีกแล้ว) ของเธอเลย สาเหตุก็คือ เพลงเก่าเหล่านี้ล้วนเป็นเพลงที่สวยงาม ทั้งเนื้อหา และท่วงทำนอง ในความคิดเห็นส่วนตัวของผม เธอได้ให้คำจำกัดความใหม่สำหรับเพลงจีนที่เธอได้ร้องไว้ ทั้งในยุคทศวรรษ 80, 90 จวบจนปัจจุบัน ว่าเพลงอมตะ จริงอยู่ว่าเพลงที่เธอร้องไม่ใช่เพลงที่แต่งใหม่ขึ้นทุกเพลง แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เพลงเหล่านั้นกลับมามีความหมายและโลดแล่นอย่างสง่าผ่าเผยได้อีกครั้งด้วยเสียงร้องของเธอ นอกจากนี้ด้วยอิทธิพลความดังของเพลงที่เธอร้อง ทำให้เกิดการ cover เพลงนั้นซ้ำแล้วซ้ำอีก จากศิลปินรุ่นใหม่อีกหลายคน ไม่ว่าจะเป็น อู๋กัง ขงลี่ ฯลฯ

ผมรู้จักเพลงของเธอครั้งแรก สมัยผมเรียนชั้นมัธยมต้น แม่ผมดูละครซีรี่ส์ไต้หวัน ของ ฉวงเหยา ผมได้ยินเพลง "ไจ้สุ่ยอิ๊ฟัง" (อยู่คนละฟากฝั่งน้ำ) ครั้งแรกที่ผมได้ยินผมรู้สึกหดหู่มาก ทั้งๆที่ผมไม่รู้ความหมายของเพลงนี้เลยแม้แต่น้อย จนพออายุเยอะขึ้นมาหน่อย ก็เริ่มกล้อมๆแกล้มๆ ถามแม่ เรียนภาษาจีนจากการสนทนาในบ้าน จนมารู้ความหมายเพลงนี้เต็มๆ ยิ่งทำให้รู้สึกชอบเพลงนี้ขึ้นมามากกว่าเก่า เพราะเนื้อเพลงเขียนไว้ดีมาก เปรียบคนที่รักกันแต่ไม่สมปรารถนาว่า เหมือนยืนกันคนละฝั่ง มองเห็นกัน แต่ใกล้ชิดไม่ได้ (อย่าบอกผมว่าก็พายเรือไปหาดินะ) มันเป็นอารมณ์เพลง

จนมาโตขึ้นอีกหน่อยก็ได้ฟังเพลงของ ไช่ฉิน มาเรื่อย ๆ ทั้งแบบรวมห่อขายเน่าๆ ที่ เอพีเอส ทำขายเป็นแผ่นคู่ และ งานระดับบันทึกเสียงดี ๆ งานใหม่ ๆ ที่พ่อผมดั้นด้นไปหามาจากไต้หวัน ครั้งที่กลับไปเยี่ยมเกาะนี้ (ย้ำอีกครั้งไต้หวันไม่ใช่ประเทศ) ทำให้เห็นพัฒนาการหลายอย่างของเธอ มาช่วงยุค 2000 ต้นๆ เธอมีการเปลี่ยนแปลง ผมไม่แน่ใจว่าเพราะเธอต้องการ หรือ เพราะตลาดเริ่มอิ่มตัว เธอเริ่มร้องเพลงดังๆของเธอในอดีตใหม่หมด ด้วยการบันทึกเสียงในระดับ ออดิโอไฟล์ การเรียบเรียงดนตรี และเสียงประสาน แปลกไปจากเดิม จนทำให้ผมรู้สึกแปลกใจ ปนไม่ชอบนิดหน่อย เพราะว่างานนั้นออกมาดูเหมือนว่าเธอจะตั้งใจร้องเกินไป ทำให้อารมณ์เพลงมันไม่ธรรมชาติเท่าที่ควร แต่ก็จัดว่าอยู่ในระดับดี แต่ผมไม่ชอบเท่านั้นเอง

ไฉ่ชินก็ยังคงเสนองานแบบนี้ต่อมาอีกชุด ทีนี้ก็ "โป๊เชะ" ผมเลยครับ ถ้าท่านเคยดูหนังเรื่อง Infernal Affair ภาคแรก (ที่ เหลียงเฉาเหว่ย เล่นกับ หลิวเตอะหวา) แล้วจำฉากที่พี่หลิวเดินเข้าไปร้านขายเครื่องเสียงของ เฮียเหลียงได้ เพลงที่ใช้เทสต์เครื่องเสียงนั่นแหละ ที่ทำให้ผมสะดุ้งโหยงอีกครั้ง เพลงนั้นชื่อ เพลงแปลเป็นไทยก็ประมาณว่า "ความทรงจำที่ถูกลืม" ร้องว่า "ซรื่อ เสรย ไจ้ เชียว เต้า หว่อ ชวัง" แปลว่า ใครนะที่มาเคาะหน้าต่างของฉัน นั่นแหละครับ เสียงนั้นตอนดูในโรงเหมือน กับ เสียงนางฟ้าลอยมาจากไหนไม่รู้ แต่จริง ๆ แล้วเพลงนี้ และเวอร์ชั่นเดียวกันนี้ ผมซื้อไว้นานแล้ว เพียงแต่พอดูในโรงหนัง อารมณ์มันแตกต่างกัน จึงทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมากับเพลงนี้โดยฉับพลัน จนดูหนังจบก็กลับบ้านไปค้นเวอร์ชั่นนี้ออกมาฟังใหม่

นี่เป็นครั้งแรกที่ผมบอกกับตัวเองว่า สงสัยต้องติดตามงานของเธออีกครั้งแล้ว เนื่องจากผมเองบอกตรงๆว่า ไม่ได้เป็นสาวกตัวจริงเสียงจริงของเธอในช่วงเวลานั้น ผมขี้เกียจซื้อเพลงเดิม ๆ ซ้ำไปซ้ำมาบ่อย ๆ เพราะไม่มีเงินมากพอจะทำ แผ่นแท้ออกสังกัด วอร์เนอร์ คิดเป็นเงินไทย ปาไปร่วมพันบาท เพราะบันทึกในแบบ ออดิโอไฟล์แท้ รับรองไม่มีถูกแน่นอน ผมก็เลยคิดว่าถ้าเธอขืนยังไม่ออกงานเพลงชื่อเพลงใหม่ๆ ก็จะไม่ซื้อแล้ว (มีงอนนิดหน่อย) แต่เพลงนี้เพลงเดียว ช่วงเวลาที่เปิดเพียงไม่นานในโรงหนัง มันเหมือนทำให้ผมพบเจออะไรที่ผมไม่เห็นในงานทำซ้ำของเธอ

จากหนังเรื่องนี้ ทำให้เธอเกิดอย่างเต็มตัวที่ฮ่องกง เนื่องด้วยฮ่องกงคนส่วนใหญ่ยังสื่อสารกันด้วยภาษากวางตุ้งเป็นหลัก แต่ก็มีแฟนเพลงของเธอไม่น้อยในฮ่องกง แต่ถ้าเทียบเป็นปริมาณการขายก็ยังถือว่าไม่ใช่เบอร์ต้น ๆ แต่เมื่อหนังเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในฮ่องกง ก็ผลักดันให้บทเพลงของเธอ ดังเป็นพลุแตก หากใครมีดีวีดี คอนเสิร์ตของเธอ (ปี 2007) คุณฟังดีๆ นะครับ จะเจอเธอกล่าวคำขอบคุณ ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่เข้ามานั่งฟังอยู่ในคอนเสิร์ตฮอลล์ และหากเก็บรายละเอียดจะรู้ว่า เธอไม่เคยคิดว่าเธอจะมาเปิดคอนเิสิร์ตเต็มตัวในฮ่องกงได้ นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า ต่อให้เธอดังมากแค่ไหนก็ตาม ก่อนหน้านี้เธอก็ยังไม่เคยออกมาเดี่ยวคอนเสิร์ตต่อหน้าชาวประชาฮ่องกงมาก่อน

ผมเก็บงานของเธอทุกชุดหลังจากนั้น และกลับไปเก็บก่อนหน้านั้นอีกนิดหน่อย ทั้งชุด Golden Voice 1 และ 2 และงานที่ทำกับ Chris อันนี้มีกวางตุ้งปนมาด้วย และอีกหกเจ็ดชุดที่ออกมาพรวดพราด ราวกับจะรองรับความดังของเธอไม่ไหวแล้ว ทุกชุดล้วนมีจุดขายที่แตกต่างกัน ดีบ้าง ไม่ดีบ้างปน ๆ กันไป จนมาถึงชุดที่ออกปี 2007 Concert Hall ตอนนั้นผมไปฮ่องกงพอดี และได้ซื้อตอนที่อัลบั้มนี้ออกวางแผงใหม่ๆ เป็นแนวขาย ซีดี และ ดีวีดี คู่กันในกล่องเดียว คุณเชื่อหรือไม่ว่า ร้านขายซีดีทุกร้านในฮ่องกง เปิดแผ่นนี้มันทุกร้าน ถึงคุณไม่ชอบเธอก็ต้องฟัง ขนาด เจ โชว์ ออกอัลบั้มใหม่ไล่เลี่ยกัน ก็ไม่ไ้ด้เห็นการโปรโมทเท่า ไช่ฉิน นี่ถือว่านักร้องคุณภาพรุ่นใหญ่ กินขาด นักร้องวัยรุ่นปัจจุบัน แบบเต็ม ๆ


เพลงในชุดนี้มีการเรียบเรียงเสียงประสานของไลน์เครื่องสายอย่างงดงามมาก ทำให้ทุกเพลงรู้สึกได้ถึงความสด ในภาคดนตรี ผมจะไม่พูดถึงเสียงนักร้องนะครับ เพราะละไว้ในฐานที่ซื้อเพราะเสียงนักร้องนี่แหละ

ดีวีดีที่ขายมาด้วยกันก็เป็นมิวสิควีดีโอ ทุกเพลงในอัลบั้มนี้ การถ่ายทำก็ไม่มีอะไรมาก ก็เป็นรูปเธอร้องเพลง แล้วก็มีนักดนตรีเล่นอยู่ ไม่หวือหวา ไม่ได้มีอะไรแปลกพิสดาร แต่เน้นไปที่อารมณ์ การร้องเพลงที่แสดงผ่านสีหน้าของเธอมากกว่า

อัลบั้มนี้น้องสาวผมลังเลว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อดี เพราะยืนฟังหน้าร้านด้วยกันกับผม แต่น้องผมเห็นว่าผมซื้อแล้ว ก็เลยกะขอก็อป วันสุดท้ายที่ต้องกลับ น้องผมก็เปลี่ยนใจวิ่งไปซื้อที่ร้าน แต่เจ้ากรรมคือ ร้านยังไม่เปิด ทั้งๆที่พนักงานขายมาเปิดร้านแล้ว แต่บอกน้องผมว่า ยังไม่สิบโมงเช้ายังไม่ขาย น้องผมเลยต้องยืนแกร่วประมาณสิบห้านาที พนักงานขายเปิดเครื่องคิดเงินบิลแรกของวันนั้น ก็ซีดีแผ่นนี้แหละที่น้องผมซื้อ

จนผมกลับมาแล้วผ่านไปสักประมาณ สี่ห้าเดือน แผ่นแท้ของชุดนี้จึงเข้ามาขายในไทย ในสนนราคาที่เท่ากันเป๊ะกับที่ผมซื้อที่ฮ่องกง ผมไม่รู้ว่าคนไทยจะชอบชุดนี้ไหม แต่ที่แน่ ๆ คือ ผมเปิดฟังบ่อย โดยเฉพาะ แทรคที่สามเนี่ยอย่างโดน

ระหว่างปี 2008 เธอยังคงออกอัลบั้มมาอีก หนึ่งหรือสองชุด ผมไม่แน่ใจ แต่ที่ผมจะเขียนถึงเป็นอัลบั้มสุดท้ายของบทความนี้คือ อัลบั้ม Without Regret แปลเป็นฝรั่งแล้ว ตามเว็บ yesasia งานชุดนี้ถือเป็นการส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่โดยแท้ อัลบั้มออกวันที่ ยี่สิบ พฤศจิกายน ผมมาได้อัลบั้มนี้งานก็อปจีนแดง ประมาณวันที่ สิบห้า ธันวาคม ฟังทันที หกเพลงแรก เพราะสี่เพลงสุดท้าย เพลงเก่าตามเคย แต่เป็นเวอร์ชั่นแสดงสด

อยากบอกว่า ชอบมาก ทั้งหกเพลง ผมไม่ได้อ่านรายละเอียดว่าใครเป็นคนจัดการ arrange เพลงทั้งหมดหกเพลงนะครับ แต่ขอบอกว่า ฝีมือมากครับ ถ้าใครได้ฟังจะชอบตั้งแต่เพลงแรก ๆ เลย ประการแรกคือ เพลงทั้งหกเพลงไม่ใช่เพลงที่ทำซ้ำบ่อยๆ จนเราชินหูกัน แต่มันเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ และ ละคร เก่าทั้งหมดเก้าเพลง (สี่เพลงแสดงสด) รวมกับเพลงใหม่ที่แต่งเพิ่มอีกหนึ่งเพลง สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีกับอัลบั้มชุดนี้คือ เพลงที่เลือกมาร้องบันทึกเสียงใหม่ หกเพลง เป็นเพลงที่ผมไม่คุ้น หรือ ไม่เคยได้ยินมาก่อน ความจริงผมชอบทั้งหกเพลงเลยนะครับ เพราะเนื้อหากับดนตรี ทำออกมาเป็นแนว ไช่ฉิน ยุคใหม่ ที่ไม่ใช่แจ๊ส แต่เป็นแนวเครื่องสายสากลมาตรฐาน (ไม่ใช่วงซิมโฟนี่ฯนะครับ) เป็นแค่ระดับวงแชมเบอร์ที่เน้นความสดในเครื่องสาย

หลังจากผมพูดถึงไช่ฉิน มาได้สักพักในหัวผมก็ผุดชื่อนักร้องชายในคลาสเดียวกันกับเธอขึ้นมาคนหนึ่ง เขาชื่อ "เฟ่ยยิชิง" แต่เอาเป็นว่าไม่พูดถึงก่อนดีกว่า เพราะเริ่มเมื่อยแล้ว ไว้วันหลังถ้ามีความขยันอีก จะเข้ามาเขียนถึง พ่อหนุ่มใหญ่เสียงสวยให้ได้อ่านกันนะครับ แต่วันนี้ก่อนที่ผมขอจะจบประเด็น ปรากฏการณ์ ไช่ฉิน ไว้แต่เพียงพอให้ท่านงง ๆ ว่าไอ้หมอนี่มันต้องการจะบอกอะไรกันแน่ ผมอยากจะสดุดีความงดงามของบทเพลงที่เธอคนนี้ให้ไว้กับคนทั้งหมดที่ฟังและรักเพลงของเธอ สิ่งที่ผมได้จากงานของเธอ ไม่ว่าจะเป็นบทเพลงอันไพเราะ และ มีคุณค่า ผมยังได้เรียนรู้ถึงวิวัฒนาการ การไม่ยอมหยุดนิ่ง ในการพัฒนางานเพลงของตนเอง และยกระดับคนฟังขึ้นไปอีกหลายๆขั้น ผ่านงานเพลงของเธอ สิ่งที่เธอไม่เคยเปลี่ยนก็คือ เธอยึดมั่นแนวทางการร้องเพลงของเธอมาตลอด ไม่เคยตามกระแส ไม่เอางานเพลงไปย่ำยีเพื่อให้ได้เงินมา มีบางช่วงที่เธอซาไป แต่เธอก็กลับมาได้ทุกครั้ง ท่ามกลางกระแสดนตรีที่หลากหลาย แต่ไม่จีรังยั่งยืนสักแนว นักร้องรุ่นใหม่ๆ ดังกว่าเธอมากเมื่อช่วงหลายปีก่อน ก็ดับไปแล้วมากมาย แต่เธอยังอยู่ ก้าวไปอย่างช้า ๆ ไม่ทรยศคนฟัง ไม่ถอยหลังเพียงเพราะบริษัทสั่งให้เปลี่ยน เพื่อเอาใจกระแสแนวเพลงใหม่ๆ นี่คือนักร้องตัวจริง การอยู่ในวงการเพลงอย่างยาวนานและมั่นคง มันคือคำตอบเกือบทั้งหมดของทุกคำถามที่นักร้องคนหนึ่งจะให้ได้ แต่ถ้าเราพิจารณาลึกลงไปถึง ความเป็นตัวของเธอเอง นับแต่อดีต จนถึง ปัจจุบัน เธอเคยเป็นอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น เธอไม่เคยออกชุดแรก ชุดสอง ชุดสาม เรียบร้อย แต่พอดนตรียุคหลังร้องขอให้นักร้องที่ประสบความสำเร็จต้องดิ้น เธอก็ต้องมาดิ้นเพื่อให้เธอไม่ตกเทรนด์ ยิ่งเปรียบกับนักร้องเบอร์หนึ่งของไทยบางคน ทำให้เห็นถึงความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อาจเป็นน้กร้องที่หาจุดยืนชั่วคราวตามกระแสเพื่อให้ตัวเองยังเป็นเบอร์หนึ่งต่อไปบางคนที่ยอมทำเพื่อเอาใจตลาด แต่ไม่ใช่ไช่ฉินแน่นอน เพราะเธอพิสูจน์แล้วว่า งานที่มีคุณภาพ ความจริงใจต่อการทำงาน มีจิตที่คารวะคนฟังอยู่เสมอ จะเป็นสิ่งที่ทำให้เธอไม่เสื่อมไปจากวงการเพลงตลอดไป


ขอบคุณสำหรับภาพหน้าปกจาก www.yesasia.com


วันพุธที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2551

สิ้นปี

วันที่ 31 ธันวาคม 2551 (ที่ไม่ใช่ 2008)

วันนี้นั่งอยู่บ้านพร้อมฟังเพลงหลายเพลงที่ชอบ แล้วก็นั่งทบทวนว่าทั้งปีที่ผ่านมา ตัวผมได้ทำอะไรบ้าง พอได้ความว่าปีที่ำกำลังจะผ่านไปนี้ ผมเองได้ประสบการณ์ชีวิตหลายอย่างที่มีค่า ทั้งๆที่หลายเรื่องเต็มไปด้วยความโหดร้าย และ น่าเศร้า
การเมืองปีที่ผ่านมาถือได้ว่าเป็นปีที่ตกต่ำที่สุดของประเทศไทย ความแย้งที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าตั้งแต่เกิดมาจนอายุสามสิบกว่าเข้าไปแล้ว ผมยังไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมจะไม่พูดถึงเรื่องการเมืองมากเกินไปนัก เนื่องด้วยผมเลือกข้างแล้ว และอยู่ในข้างที่สูญเสียเป็นอย่างมากจากรายการสังหารโหดของผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ ในวันที่ 7 ตุลาคม ผมไม่เคยร่วมชุมนุมกับใครมาก่อน และแม้จะแอบเห็นด้วยกับการเคลื่อนไหวของม็อบรักชาติ รักสถาบัน แต่ก็ไม่เคยไปร่วมชุมนุม แม้แต่ครั้งเดียว จนมาเมื่อน้อง โบว์ เสียชีวิต และ พี่น้องคนไทยด้วยกันเองบาดเจ็บ หลายร้อยคน จากการกระทำของฆาตกรชุดกากี ผมก็เข้าร่วมชุมนุมเป็นครั้งแรกในวันที่ 8 ตุลาคม ผมอยากบอกว่าผมกลัวตายนะ แต่วันนั้นหลังจากดูรายงานข่าวของช่องที่่ไม่บิดเบือนแล้ว ทำให้ผมบอกกับตัวเองว่า "นี่มันห่าอะไรกันวะ ฆ่าคนไร้ทางสู้ แล้วยังมาป้ายสีพวกเขาอีก" เช้าวันรุ่งขึ้นผมออกจากบ้านไปที่ ทำเนียบฯ และเข้าร่วมชุมนุมนับตั้งแต่วันนั้น

บ้านเมืองเราตอนนี้วิปริตผิดไปจากแต่่ก่อนมากนัก ผู้คนที่เห็นการตายของเพื่อนร่วมชาติด้วยกัน กลับรู้สึกสะใจและดีใจ เพียงเพราะพวกที่ตาย "ไม่ใช่พวกเดียวกัน" ผมเองตอนได้ข่าวเสื้อแดงตาย ผมเองยังรู้สึกสงสาร ที่คนเหล่านี้โดนหลอกมาด้วยเงินไม่กี่ร้อยบาท แต่ต้องมาจบชีวิตเพราะความชุ่ยของกลุ่มคนที่พยายามเสี้ยมให้เกิดเรื่อง ผมไม่เคยคิดว่าการตายของคนๆหนึ่ง จะน่าดีใจที่ตรงไหนเลย หากแต่มันเป็นเรื่องที่ควรมีคำถามมากมายในการตายแต่ละครั้ง "เขาเป็นใคร" "ตายยังไง" "ใครทำ" ฯลฯ สิ่งเหล่านี้กลับถูกละเลยและมองข้ามจากรัฐบาล (เฮงซวย) พวกนี้ทำงานตามใบสั่ง มองชีวิตประชาชนเป็นเบี้ยในกระดาน ที่จะใช้เพื่อสำเร็จความใคร่ให้กับตนเอง การเมืองหากปกครองด้วยความกลัว ประชาชนจะลุกฮือ ขึ้นมาตอบโต้การกระทำของรัฐมากขึ้น และมากขึ้น นี่คือสิ่งที่ผมเรียนรู้จากชีวิตจริงในปีที่ผ่านมา

หลังจากวันที่ 7 ตุลาคม ผมไปที่ทำเนียบฯ พบว่าพี่น้องที่ไปชุมนุม ไม่ได้กลัวการกระทำอันต่ำช้าของเจ้าหน้าที่รัฐเลยแม้แต่น้อย แต่กลับหลั่งไหลเข้าทำเนียบ จนถนนทุกสายดูน่าอึดอัด และหาที่เดินสะดวกๆ แทบไม่ได้ ผมตั้งคำถามกับตัวเองว่า "เออดีเว้ย ไม่กลัวตายกันเลย" นี่เป็นความรู้สึกที่ผมสัมผัสได้ พวกเขาเข้ามาทำเนียบมากขึ้นเพื่อ "
ท้าอธรรม" นี่คือความคิดของวิญญูชน ครั้งแรกของการชุมนุมอย่างจริงจังของผม (ก่อนหน้านั้นเคยไปกับเพื่อนที่สะพานมัฆวาน สมัยมหาวิทยาลัย แต่ไปแบบปิคนิค ไปเอาบรรยากาศ) ผมสัมผัสถึงความเป็นครอบครัวใหญ่ที่ทำเนียบ ทุกคนมาอยู่รวมกัน มองผู้ปราศัยอย่างแน่วแน่ และมีปฏิสัมพันธ์ทุกครั้ง เมื่อผู้ปราศัย กล่าวข้อความที่โดนใจ นี่คือม็อบที่มาด้วยใจ สื่อใจผู้พูด กับ ใจผู้ฟังถึงกันอย่างไม่ต้องนัดแนะ และไม่ต้องมีเชียร์ลีดเดอร์ ผมเจอพ่อค้าวาณิช นำของเข้ามาแจก เป็นอาหารบ้าง ยาบ้าง น้ำบ้าง กระทั่งขนม ซึ่งทุกอย่างล้วนแล้วมาแต่ทุนรอนของตนเองทั้งสิ้น

สำหรับการชุมนุมครั้งแรกผมยังออกอาการเคอะๆเขินๆ แปลกที่แปลกทางอยู่บ้าง แต่ก็ได้ตัดสินใจบริจาคเงินจำนวนหนึ่งเพื่อใ้ห้เป็นทุนรอนในการดำเนินการต่อไป ผมออกจากที่ชุมนุมราวๆ ห้าโมงเย็น ซึ่งตอนนั้นมีคนสวนกับผมเข้าไปเยอะมาก ยิ่งตกเย็นคนยิ่งเข้ามามาก ทำให้ผมรู้ว่าประเทศไทยยังมีหวัง คนเหล่านี้คือคนกล้าที่ไม่ต้องแต่งเครื่องแบบทหาร หรือ ตำรวจ แต่มีใจกล้าหาญมากกว่าคนเหล่านั้นมากนัก ด้วยว่าพวกเขามาด้วยสองมือเปล่า อาหารสำหรับแบ่งปัน น้ำใจที่มีให้กันเหลือเฟือ การพูดจาปราศัยกันระหว่างคนที่เข้ามาชุมนุมก็เป็นไปด้วยความคิด และสามารถจำแนกแยกแยะถึงเหตุผลในการที่ตนเองเข้ามาอยู่ในทำเนียบฯได้อย่างชัดเจน ผมมีโอกาสคุยกับป้าคนนึง แกเป็นคนไม่ค่อยมีสตางค์ แต่แกก็มาอยู่กับกลุ่มนี้ได้กว่า สี่เดือนแล้ว ที่สำคัญแกมาจากเชียงใหม่ (555) ผมเองได้ความรู้เพิ่มขึ้น แกบอกว่าแกไม่ชอบอดีตนายกฯ หน้า square shape เพราะว่าที่บ้านแกลูกหลานจนลง เงินที่อดีตนายกฯ คนนี้เอามาให้เป็นเงินที่ทำให้บ้านแกสบายได้ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็เป็นหนี้หัวบานกว่าเก่าอีก แกมาสู้เพื่อลูกหลานของแก คนหนุ่มสาวที่บ้านต้องปากกัดตีนถีบ แกแก่แล้วแกไม่กลัวตาย และที่สำคัญคือแกทนไม่ได้ที่อดีตนายกฯ จาบจ้วงในหลวงอันเป็นที่รักของแก แกเป็นคนๆหนึ่งที่ได้รับอนิสงฆ์จากโครงการหลวง ดอยอ่างขาง แกรู้ซึ้งถึงพระมหากรุณาธิคุณที่พระองค์มีต่อพสกนิกร นี่คือบทเรียนชีวิตจริง ที่การชุมนุมนี้มีให้กับผม

ผมจะไม่ลงลึกไปถึงเหตุการณ์หลายๆเหตุการณ์ ที่รัฐบาลชั่วช้าภายใต้การควบคุมของอดีตนายกฯหนีคดีทำไว้ เพราะมันจะหนักไป ผมอยากเพียงเล่าถึงประสบการณ์ครั้งแรกในการชุมนุมเท่านั้น

สิ่งที่ได้มาจากการชุมนุมคือ

1. ม็อบมาด้วยใจ "เงินซื้อไม่ได้"
2. ม็อบมาด้วยใจ รักชีวิต แต่ไม่กลัวตาย หากการตายนั้นเป็นไปตามอุดมการณ์ และสิ่งที่พวกเขาเห็นว่าถูกต้อง
3. ม็อบนี้พยายามทำสิ่งที่รัฐบาลควรจะทำ แต่เสือกไม่ทำ เช่น การเรียกร้องความโปร่งใสสุจริต การขับเคลื่อนสังคมด้วยคุณธรรมเป็นตัวนำ ไม่ใช่เิงิน และ ที่สำคัญคือปกป้องสถาบันสูงสุด อันเป็นรากฐานของวิถีชีวิตคนไทย
4. ม็อบที่มีพลวัฒน์ขับเคลื่อนไปข้างหน้า อย่างเด็ดเดี่ยว ไม่เปลี่ยนแปลงอุดมการณ์ และไม่เคยทิ้งความเชื่อของตนเอง
5. เป็นม็อบที่ถูกเข้าใจผิดมากที่สุด เพราะสื่อของรัฐ (ช่อง โนN บิB ตะT) บิดเบือนข้อมูลข่าวสาร จนช่องนี้กลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐแบบร้อยเปอร์เซ็นต์ และเป็นช่องทางสร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคมอย่างวิกฤตที่สุด (ภายใต้ผู้เสนอข่าว itv เดิม ซึ่งเป็นกลุ่มคนรับใช้อดีตนายกฯหนีคดี)
6. เป็นม็อบที่ฝากท้องเวลาหิวได้ คือ อยากบอกว่า ขนมครกอร่อยมากครับ ถึงผมจะไปกินไม่บ่อย แต่ผมขอชมว่าอาหารอร่อย แถมคนตักให้ก็ยิ้มแย้ม ผมรู้ว่าเหนื่อย แต่ทำงานด้วยใจยังไงก็มีความสุขครับ
7. เป็นม็อบที่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายมากเลย ประมาณสักแปดสิบเปอร์เซ็นต์เป็นหญิง หรืออาจมากกว่านั้นซะด้วย ทำให้รู้ว่ายามเอาจริง ผู้หญิงก็สู้ได้ดีกว่าผู้ชายด้วยซ้ำในหลายๆเรื่อง ขอคารวะครับ อ่อมีน่ารักไม่น้อยเลยนะ (อันนี้แอบเหล่ไว้เหมือนกัน)
8. เป็นม็อบที่คุยด้วยรู้เรื่องมากสุด แกนนำบอกว่าให้ทำอะไรก็รีบทำ แกนนำบอกว่าอย่าทำก็ไม่ทำ อันนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ดี และรู้สึกทึ่งมากๆ ที่โดนโจรกากีกระทำอยู่ฝ่ายเดียว แต่ไม่ตอบโต้ เพราะถ้าตอบโต้จริง โจรกากีตายเป็นเบือแน่ ผมเข้าใจว่านี่คือการสร้างหลักความชอบธรรมให้กับผู้ชุมนุม ผมขอปรบมือและคารวะจริง ๆครับ

จริงๆอาจมีข้ออื่นอีกมาก แต่จะไม่ขอพูดถึง เพราะขี้เกียจพิมพ์แล้ว เก็บไว้เป็นความทรงจำดีๆ ร้ายๆ ปนๆกันไปในหัวของผมเองดีกว่า ผมขอขอบคุณ พันธมิตร ที่พวกคุณกล้าท้าทายความทุกข์ยาก โดยเอาความถูกต้องเป็นหลักนำหน้า ผมขอประณามความเลวร้ายของรัฐบาลภายใต้การกระทำอันเลวร้ายต่อเพื่อนร่วมชาติ อย่างขี้ขลาดและโหดร้าย ทั้งทักษิณ สมัคร และ สมชาย และผมขอไว้อาลัยกับสื่อ NBT ช่องสาม (สรย้วย) ที่บิดเบือนข่าว สร้างความแตกแยกให้กับคนในสังคม ทำคนดีให้ดูเลว และทำคนเลวให้พ้นผิด เพียงเพื่ออำนาจ เงินทอง

ก่อนจะถึงปีใหม่ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า ผมหวังใจว่า (ไม่ใช้คำว่า "ขอ" นะครับ) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ท่านนับถือจะดลบันดาลให้ท่านและครอบครัว ญาติมิตร ประสบโชคดี มีความสุข ไม่เจ็บไม่ไข้ และสามารถฝ่าฟันเศรษฐกิจในปี 2552 ไปได้ครับ