ผมเชื่อว่า ณ วันนี้หากถามคนเดินถนนสักคนว่า รู้จักวงไหมไทยไหม ท่านจะได้รับคำตอบว่า อ๋อ รู้จัก ไหมไทย ใจตะวันไง เพราะผมเคยโดนคำตอบแบบนี้มาแล้ว สามครั้ง จากร้านขายซีดีสามแห่ง วงไหมไทย กับ ไหมไทย ใจตะวัน มันเป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง อันนี้ต้องไปศึกษาเรื่อง การเรียนรู้ และระบบความคิดของคนกันต่อไป แต่เอาเป็นว่า วงไหมไทย ที่ผมจะเขียนนับต่อจากนี้ไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ไหมไทย ใจตะวัน นักร้องลูกทุ่ง เลยสักนิด
วงไหมไทยก่อตั้งราว ๆปี 2530 (ตามประวัติที่ค้นได้) โดย อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล ซึ่งก่อนหน้านี้อาจารย์มีงานเพลงออกบ้างแล้วเช่น ชุดเรามาร้องเพลงกัน โดยได้ คุณ เต๋อ เรวัิติ พุทธินันท์ มาร้องนำในชุดนั้น โดยหน้าปกจะเป็นดังรูป
เพลงในชุดนี้มีทั้งหมด 11 เพลง ซึ่งดูรายชื่อเพลงดูเอาจากปก (เอียงคอหน่อยนะครับ ถ้าสนใจจะรู้) งานชุดนี้ถือเป็น Master Piece สำหรับดนตรีไทยสากล ในความคิดผมจนถึงทุกวันนี้ วงคีตกวี ความจริงแล้วคือ วงดนตรี "ภาคีวัดอรุณ" (The Temple of Dawn Consort) ซึ่งวงดนตรีวงนี้ได้ก่อตั้ง โดยมีสมาชิกคนสำคัญ คือ ดนู ฮันตระกูล, สุรสีห์ อิทธิกุล, จิรพรรณ อังศวานนท์, อัสนี โชติกุล, กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา, อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ และคุณเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ (ล่วงลับไปแล้ว) ทั้งหมดปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ ในสายงานดนตรีไทยสากล งานทั้งสิบเอ็ดเพลงนี้ คุณ เต๋อ ร้องออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้เสียงของคุณเต๋อ ไม่เหมือนกันเลยสักเพลง โดยเฉพาะเพลงทุกๆคน(เป็นคนดี)
เนื้อหาของทั้งสิบเอ็ดเพลงออกแนวเพลงปรัชญา ให้ข้อคิด และให้เราคิด ไม่ใช่เพลงรักเฝือฝายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพลง ดนตรี คีตา (เวหาจักรวาล) หากฟังแบบค่อนข้างจะซีเรียส คุณจะพบการบอกถึงพุทธธรรม บวกเต๋า บวกเซนอยู่ข้างในเพลงเดียวกัน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนประมาณมัธยม บอกตามตรงว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" สมัยนั้นผมงงกับเพลงทั้งชุดนี้มากๆเลย ผมไม่เข้าใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไรให้ผมฟัง เพลงที่เขียนมักจะออกแนว เป็นวลี ไม่ต่อเนื่อง ฟังแล้วต้องนั่งนึกกันนาน แต่ด้วยปัญญาของเด็กมัธยม (น่าจะต้น) ผมฟังรู้เรื่องแค่สองสามเพลงครับ อย่าง เรามาร้องเพลงกัน ไม่เป็นไร แต่เพลงอย่าง วีณาแกว่งไกว ดนตรี คีตา(เวหาจักรวาล) ดอกไม้ไปไหน และที่สำคัญคือเพลงที่ป้อมเขียน "ทำอยู่ทำไป" ผมหละงงสุดๆ ทั้งเพลงร้อง แต่ ทำอยู่ทำไป ทำไปทำอยู่ สลับกันไปๆมาๆ ท่านที่ไม่มีชุดนี้ ลองไปหาฟังได้ที่ อัลบั้ม เด็กเลี้ยงแกะ ของ อัสนี วสันต์ โชติกุล นะครับ พี่ป้อมพี่โต๊ะเอามาทำใหม่ให้ฟังกันชัดๆอีกที
ผมฟังอัลบั้มชุดนี้เพราะว่า มีพี่ข้างบ้านคนหนึ่งเขาขายเทป แล้วออกแนวค่อนข้างจะศิลปิน ผมซื้อเทปกับแกบ่อยมาก แต่ผมจะซื้อออกแนวเพลงตลาด วันหนึ่งแกเปิดเทปม้วนนี้อยู่หน้าร้าน ไม่ได้ขายนะ ผมก็ไม่รู้แกเปิดเพลงอะไร แต่ผมมาฟังเจอเพลง ดอกไม้ไปไหน เข้าพอดี ผมก็เลยหยุดยืนฟัง จนจบเพลงผมก็พูดก็พูดกับตัวเองว่า "เพลงห่าอะไรวะ ฟังทั้งเพลงแล้วก็ไม่รู้เรื่อง" ผมเลยเดินเข้าไปถามเฮียตี๋ (ชื่อพี่ที่ขายเทป) ว่า ตะกี้พี่เปิดเพลงอะไร พี่เขาก็บอกว่าเพลงของใคร ผมก็ขอให้เขาเปิดอีกครั้ง ผมกับเฮียตี๋ นั่งฟังเพลงนี้ทั้งม้วน ใช้เวลาร่วมกันประมาณเกือบชั่วโมง ปรากฏว่าผมยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ผมมาเจอเนื้อเพลง ดนตรี คีตาฯ เข้าไป ทำให้วันนั้นทั้งวัน ผมรู้สึกว่า นี่เป็นการฟังเพลงไทยครั้งแรก ที่ไม่รู้ว่าคนร้องเขาจะบอกอะไรผม ถ้าท่านอยากรู้ ก็ดูตามเนื้อข้างล่างแล้วกันนะครับ
"ดนตรีคีตา เวหาจักรวาล
ดวงดาวที่เฝ้าขาน ระยิบหวานระยับหาว
หยดน้ำค้างพร่างพราย หยาดประกายพร่างพรม
คล้อยเคลื่อนเลื่อนสายลม ปรอยเมฆฝนหล่นทำนอง
สู่ยอดไม้ใกล้ฟ้า สู่ยอดหญ้าใกล้ดิน
น้ำเชี่ยวที่ไหลริน ลำธารนิ่งที่ไหลลืม
ยอดเขาเงาตระหง่าน ลมไขขานกรรโชกพัด
แพ้วพานผ่านป่าชัฏ สู่ที่สงัดในอาราม
เงียบสงบไม่เงียบเหงา พระธรรมเคล้าเข้าสวรรค์
ศีล สมาธิ ปัญญาพลัน ทำนองสรรค์สุญตา"
เพลงพวกนี้ผมว่าตอนนี้หาตามเน็ทอาจจะเจอ ถ้าสนใจก็ลองดูนะครับ แต่ผู้ที่ฟังอาจต้องใช้สมาธิในการฟังมากๆ เพราะเนื้อหา และดนตรีเหล่านี้สวยงามมาก เต็มเปี่ยมไปด้วย แนวคิด ปรัชญา ศาสนา และความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ถ้าท่านสามารถเข้าถึงได้ ท่านจะรู้สึกเหมือนมีคนไขกุญแจให้ท่านเดินเข้าไปพบด้านดีๆ ของมนุษย์ แต่ก่อนหน้านั้นอย่าเพิ่งถอดใจไปซะก่อนหละครับ เพราะว่าของดีมีไว้ให้เพียงแต่คนที่รู้จักคุณค่าเท่านั้น
หลังจากงานชุดนี้ อาจารย์ ดนู ก็ไปทำงานด้านเพลงมากขึ้น โดยการเปิดบริษัท บัตเตอร์ฟลาย และ โรงเรียนศศิลิยะ และให้กำเนิดวงไหมไทย ออร์เคสตร้า
สำหรับผมแล้วผมไม่ได้ฟัง ไหมไทย เรียงตามลำดับ ผมโผล่เข้ามาฟังไหมไทย ก็ปาเข้าไปชุดที่สามแล้วครับ โดยหน้าปกรวมที่ผมถ่ายเอง ไหมไทยในยุคต้นก็จะเป็นดังภาพข้างล่างนะครับ ผมอาจเรียงลำดับก่อนหลังผิด แต่ก็คิดว่าราวๆนี้แหละครับ
จากซ้ายไปขวาแถวบน
ชุด ชีพจรลงเท้า (THE JOY OF TRAVEL TALES FROM SAIYOK)
ชุด ไหมไทย 2 ทุ่งแสงทอง (Land of Golden Sun)
ชุด ไหมไทย 3 ใต้แสงเทียน (Under The Candlelight)
จากซ้ายไปขวาแถวล่าง
ชุด ไหมไทย 4 เงาไม้ (Wood Shadow)
ชุด จรัล ไหมไทย ลำนำแห่งขุนเขา (เป็นการร่วมงานกัน ระหว่าง คุณ จรัล มโนเพชร และ วงไหมไทย)
ชุด เพลงนิทาน เพลงกวี หยดฝนกับใบบัว
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้ว ผมมาฟังไหมไทยในชุดที่ สาม (หน้าปกอาจารย์ดนู นั่งอยู่กับเปียโน) ความจริงเหตุจูงใจที่ทำให้ผมซื้อเทปชุดนี้มีอยู่สองข้อ คือ ชื่ออาจารย์ ดนู ฮันตระกูล และสอง ผมชอบหน้าปกชุดนี้ ผมไม่เคยฟังเพลงสักเพลงในอัลบั้มชุดนี้ก่อนที่จะซื้อ สำหรับผมเรียกว่าตัดสินใจซื้อคงไม่ได้ มันเป็นความลงตัวที่เกิดอยู่หน้าแผงเทปนั่นแหละครับ ถ้าใครเคยซื้อเทปเพราะว่าปกมันดูดี คงเข้าใจความรู้สึกของผม คือ ซื้อเพราะคิดเดาเอาว่าในเทปคงมีเพลงราวๆนี้อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับไปเปิดที่บ้านจะใช่หรือไม่ใช่มันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
ผมก็ขอพูดถึงชุด ใต้แสงเทียน (ไหมไทย 3) นี่ก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเป็นเหมือนตัวจุดประกายให้ผมติดตามวงไหมไทย จนถึงทุกวันนี้ (ก็สักสิบกว่าปีได้แล้วมั้งครับ) ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด เก้าเพลง เป็นเพลงเก่าอย่างเช่น ลมหวล วิหคเหิรลม อิเหนา ขวัญเรียม และลาวดวงเดือน และเพลงใหม่อย่าง เพลง สวนอัมพร ภูหนาว และ สนามหลวง เพลงทั้งหมด ถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเมียดละไม ด้วยเสียงเปียโนและ เครื่องสาย ผมรู้สึกว่ามันหวาน แบบมีมนต์ขลังของคืนวันเก่าๆในสมัยก่อน ผมเองเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าการนำดนตรีตะวันตกมาเล่นเพลงไทย หากมีการเรียบเรียงดนตรีให้ดี และเข้าใจความเป็นเพลงไทย เพลงจะออกมาสวยงามมาก ซึ่งสิ่งนี้ผมว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวอาจารย์ดนู
ถ้านับเฉพาะเพลงที่ผมชอบจริงๆ แบบเปิดฟังได้ไม่รู้เบื่อ ก็น่าจะเป็น ภูหนาว กับ สนามหลวง ผมชอบสองเพลงนี้ เพราะว่าเพลง ภูหนาว เป็นการถอดความจากบทกวี ของ กวีรัตนโกสินทร์อย่าง อาจารย์ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ ออกมาให้เป็นเพลง ผมกล้ารับประกันได้เลยว่า เพลงนี้ใครฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันเย็น นิ่ง และ สงบ ให้มาดีดติ่งหูผมได้เลย เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายมาก ไม่ต้องดูชื่อเพลงก็รู้แล้วว่าคนแต่งอยากให้เราร่วมสัมผัสบรรยากาศแบบไหน อย่างไร ตอนผมฟังเพลงนี้จบผมยังรู้สึกอึ้งๆอยู่เลย คือ อารมณ์มันยังไม่กลับมา พอขึ้นเพลงใหม่ มันก็ยังเหมือนลอยเคว้งๆ อยู่พักนึง จึงค่อยกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ ส่วนเพลงสนามหลวง อันนี้ แต่งโดย คุณ สุรสีห์ อิทธิกุล ตอนนั้นผมรู้จักแต่เพียงว่า คุณ อ้อง เป็นหนึ่งในสมาชิกวง บัตเตอร์ฟลาย ที่มีฝีมือมาก แต่ผมมองคุณ อ้อง ออกไปแนวสากล หัวใหม่ และบางทีก็เลยเถิดถึงขึ้นว่า หลุดโลก ด้วยซ้ำ (ลองหางานบัตเตอร์ฟลายเก่าๆมาฟังจะเข้าใจว่าทำไมผมคิดแบบนั้น) แต่เพลง สนามหลวง เพลงนี้เพลงเดียว ทำให้ผมรู้ว่า "ผมคิดผิด" ซะแล้ว
หากใครเคยฟังเพลงนี้จะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า คนแต่งมีความเข้าใจในดนตรีไทยเป็นอย่างดี และสามารถฉายภาพความสำคัญของสนามหลวง ในวันเก่าๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านตัวโน้ตเพียวๆ ไม่ต้องมีเนื้อร้อง มันคือความเป็นไทยในแบบเข้ากันได้กับตัวโน้ตแบบตะวันตก
คุณสามารถหาฟังเพลงตัวอย่าง ของวงไหมไทยได้ที่ http://www.dnunet.com เข้าหน้าแรกให้ดูด้านซ้ายมือ จะมีชื่ออัลบั้มให้คลิก พอเข้าไปจะมีเพลงตัวอย่าง แต่วันนี้ผมขอจบการพูดถึงวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ จะออกไปซื้อของแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ
เพลงในชุดนี้มีทั้งหมด 11 เพลง ซึ่งดูรายชื่อเพลงดูเอาจากปก (เอียงคอหน่อยนะครับ ถ้าสนใจจะรู้) งานชุดนี้ถือเป็น Master Piece สำหรับดนตรีไทยสากล ในความคิดผมจนถึงทุกวันนี้ วงคีตกวี ความจริงแล้วคือ วงดนตรี "ภาคีวัดอรุณ" (The Temple of Dawn Consort) ซึ่งวงดนตรีวงนี้ได้ก่อตั้ง โดยมีสมาชิกคนสำคัญ คือ ดนู ฮันตระกูล, สุรสีห์ อิทธิกุล, จิรพรรณ อังศวานนท์, อัสนี โชติกุล, กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา, อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ และคุณเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ (ล่วงลับไปแล้ว) ทั้งหมดปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ ในสายงานดนตรีไทยสากล งานทั้งสิบเอ็ดเพลงนี้ คุณ เต๋อ ร้องออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้เสียงของคุณเต๋อ ไม่เหมือนกันเลยสักเพลง โดยเฉพาะเพลงทุกๆคน(เป็นคนดี)เนื้อหาของทั้งสิบเอ็ดเพลงออกแนวเพลงปรัชญา ให้ข้อคิด และให้เราคิด ไม่ใช่เพลงรักเฝือฝายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพลง ดนตรี คีตา (เวหาจักรวาล) หากฟังแบบค่อนข้างจะซีเรียส คุณจะพบการบอกถึงพุทธธรรม บวกเต๋า บวกเซนอยู่ข้างในเพลงเดียวกัน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนประมาณมัธยม บอกตามตรงว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" สมัยนั้นผมงงกับเพลงทั้งชุดนี้มากๆเลย ผมไม่เข้าใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไรให้ผมฟัง เพลงที่เขียนมักจะออกแนว เป็นวลี ไม่ต่อเนื่อง ฟังแล้วต้องนั่งนึกกันนาน แต่ด้วยปัญญาของเด็กมัธยม (น่าจะต้น) ผมฟังรู้เรื่องแค่สองสามเพลงครับ อย่าง เรามาร้องเพลงกัน ไม่เป็นไร แต่เพลงอย่าง วีณาแกว่งไกว ดนตรี คีตา(เวหาจักรวาล) ดอกไม้ไปไหน และที่สำคัญคือเพลงที่ป้อมเขียน "ทำอยู่ทำไป" ผมหละงงสุดๆ ทั้งเพลงร้อง แต่ ทำอยู่ทำไป ทำไปทำอยู่ สลับกันไปๆมาๆ ท่านที่ไม่มีชุดนี้ ลองไปหาฟังได้ที่ อัลบั้ม เด็กเลี้ยงแกะ ของ อัสนี วสันต์ โชติกุล นะครับ พี่ป้อมพี่โต๊ะเอามาทำใหม่ให้ฟังกันชัดๆอีกที
ผมฟังอัลบั้มชุดนี้เพราะว่า มีพี่ข้างบ้านคนหนึ่งเขาขายเทป แล้วออกแนวค่อนข้างจะศิลปิน ผมซื้อเทปกับแกบ่อยมาก แต่ผมจะซื้อออกแนวเพลงตลาด วันหนึ่งแกเปิดเทปม้วนนี้อยู่หน้าร้าน ไม่ได้ขายนะ ผมก็ไม่รู้แกเปิดเพลงอะไร แต่ผมมาฟังเจอเพลง ดอกไม้ไปไหน เข้าพอดี ผมก็เลยหยุดยืนฟัง จนจบเพลงผมก็พูดก็พูดกับตัวเองว่า "เพลงห่าอะไรวะ ฟังทั้งเพลงแล้วก็ไม่รู้เรื่อง" ผมเลยเดินเข้าไปถามเฮียตี๋ (ชื่อพี่ที่ขายเทป) ว่า ตะกี้พี่เปิดเพลงอะไร พี่เขาก็บอกว่าเพลงของใคร ผมก็ขอให้เขาเปิดอีกครั้ง ผมกับเฮียตี๋ นั่งฟังเพลงนี้ทั้งม้วน ใช้เวลาร่วมกันประมาณเกือบชั่วโมง ปรากฏว่าผมยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ผมมาเจอเนื้อเพลง ดนตรี คีตาฯ เข้าไป ทำให้วันนั้นทั้งวัน ผมรู้สึกว่า นี่เป็นการฟังเพลงไทยครั้งแรก ที่ไม่รู้ว่าคนร้องเขาจะบอกอะไรผม ถ้าท่านอยากรู้ ก็ดูตามเนื้อข้างล่างแล้วกันนะครับ
"ดนตรีคีตา เวหาจักรวาล
ดวงดาวที่เฝ้าขาน ระยิบหวานระยับหาว
หยดน้ำค้างพร่างพราย หยาดประกายพร่างพรม
คล้อยเคลื่อนเลื่อนสายลม ปรอยเมฆฝนหล่นทำนอง
สู่ยอดไม้ใกล้ฟ้า สู่ยอดหญ้าใกล้ดิน
น้ำเชี่ยวที่ไหลริน ลำธารนิ่งที่ไหลลืม
ยอดเขาเงาตระหง่าน ลมไขขานกรรโชกพัด
แพ้วพานผ่านป่าชัฏ สู่ที่สงัดในอาราม
เงียบสงบไม่เงียบเหงา พระธรรมเคล้าเข้าสวรรค์
ศีล สมาธิ ปัญญาพลัน ทำนองสรรค์สุญตา"
เพลงพวกนี้ผมว่าตอนนี้หาตามเน็ทอาจจะเจอ ถ้าสนใจก็ลองดูนะครับ แต่ผู้ที่ฟังอาจต้องใช้สมาธิในการฟังมากๆ เพราะเนื้อหา และดนตรีเหล่านี้สวยงามมาก เต็มเปี่ยมไปด้วย แนวคิด ปรัชญา ศาสนา และความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ถ้าท่านสามารถเข้าถึงได้ ท่านจะรู้สึกเหมือนมีคนไขกุญแจให้ท่านเดินเข้าไปพบด้านดีๆ ของมนุษย์ แต่ก่อนหน้านั้นอย่าเพิ่งถอดใจไปซะก่อนหละครับ เพราะว่าของดีมีไว้ให้เพียงแต่คนที่รู้จักคุณค่าเท่านั้น
หลังจากงานชุดนี้ อาจารย์ ดนู ก็ไปทำงานด้านเพลงมากขึ้น โดยการเปิดบริษัท บัตเตอร์ฟลาย และ โรงเรียนศศิลิยะ และให้กำเนิดวงไหมไทย ออร์เคสตร้า
สำหรับผมแล้วผมไม่ได้ฟัง ไหมไทย เรียงตามลำดับ ผมโผล่เข้ามาฟังไหมไทย ก็ปาเข้าไปชุดที่สามแล้วครับ โดยหน้าปกรวมที่ผมถ่ายเอง ไหมไทยในยุคต้นก็จะเป็นดังภาพข้างล่างนะครับ ผมอาจเรียงลำดับก่อนหลังผิด แต่ก็คิดว่าราวๆนี้แหละครับ
จากซ้ายไปขวาแถวบนชุด ชีพจรลงเท้า (THE JOY OF TRAVEL TALES FROM SAIYOK)
ชุด ไหมไทย 2 ทุ่งแสงทอง (Land of Golden Sun)
ชุด ไหมไทย 3 ใต้แสงเทียน (Under The Candlelight)
จากซ้ายไปขวาแถวล่าง
ชุด ไหมไทย 4 เงาไม้ (Wood Shadow)
ชุด จรัล ไหมไทย ลำนำแห่งขุนเขา (เป็นการร่วมงานกัน ระหว่าง คุณ จรัล มโนเพชร และ วงไหมไทย)
ชุด เพลงนิทาน เพลงกวี หยดฝนกับใบบัว
อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้ว ผมมาฟังไหมไทยในชุดที่ สาม (หน้าปกอาจารย์ดนู นั่งอยู่กับเปียโน) ความจริงเหตุจูงใจที่ทำให้ผมซื้อเทปชุดนี้มีอยู่สองข้อ คือ ชื่ออาจารย์ ดนู ฮันตระกูล และสอง ผมชอบหน้าปกชุดนี้ ผมไม่เคยฟังเพลงสักเพลงในอัลบั้มชุดนี้ก่อนที่จะซื้อ สำหรับผมเรียกว่าตัดสินใจซื้อคงไม่ได้ มันเป็นความลงตัวที่เกิดอยู่หน้าแผงเทปนั่นแหละครับ ถ้าใครเคยซื้อเทปเพราะว่าปกมันดูดี คงเข้าใจความรู้สึกของผม คือ ซื้อเพราะคิดเดาเอาว่าในเทปคงมีเพลงราวๆนี้อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับไปเปิดที่บ้านจะใช่หรือไม่ใช่มันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ
ผมก็ขอพูดถึงชุด ใต้แสงเทียน (ไหมไทย 3) นี่ก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเป็นเหมือนตัวจุดประกายให้ผมติดตามวงไหมไทย จนถึงทุกวันนี้ (ก็สักสิบกว่าปีได้แล้วมั้งครับ) ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด เก้าเพลง เป็นเพลงเก่าอย่างเช่น ลมหวล วิหคเหิรลม อิเหนา ขวัญเรียม และลาวดวงเดือน และเพลงใหม่อย่าง เพลง สวนอัมพร ภูหนาว และ สนามหลวง เพลงทั้งหมด ถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเมียดละไม ด้วยเสียงเปียโนและ เครื่องสาย ผมรู้สึกว่ามันหวาน แบบมีมนต์ขลังของคืนวันเก่าๆในสมัยก่อน ผมเองเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าการนำดนตรีตะวันตกมาเล่นเพลงไทย หากมีการเรียบเรียงดนตรีให้ดี และเข้าใจความเป็นเพลงไทย เพลงจะออกมาสวยงามมาก ซึ่งสิ่งนี้ผมว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวอาจารย์ดนู
ถ้านับเฉพาะเพลงที่ผมชอบจริงๆ แบบเปิดฟังได้ไม่รู้เบื่อ ก็น่าจะเป็น ภูหนาว กับ สนามหลวง ผมชอบสองเพลงนี้ เพราะว่าเพลง ภูหนาว เป็นการถอดความจากบทกวี ของ กวีรัตนโกสินทร์อย่าง อาจารย์ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ ออกมาให้เป็นเพลง ผมกล้ารับประกันได้เลยว่า เพลงนี้ใครฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันเย็น นิ่ง และ สงบ ให้มาดีดติ่งหูผมได้เลย เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายมาก ไม่ต้องดูชื่อเพลงก็รู้แล้วว่าคนแต่งอยากให้เราร่วมสัมผัสบรรยากาศแบบไหน อย่างไร ตอนผมฟังเพลงนี้จบผมยังรู้สึกอึ้งๆอยู่เลย คือ อารมณ์มันยังไม่กลับมา พอขึ้นเพลงใหม่ มันก็ยังเหมือนลอยเคว้งๆ อยู่พักนึง จึงค่อยกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ ส่วนเพลงสนามหลวง อันนี้ แต่งโดย คุณ สุรสีห์ อิทธิกุล ตอนนั้นผมรู้จักแต่เพียงว่า คุณ อ้อง เป็นหนึ่งในสมาชิกวง บัตเตอร์ฟลาย ที่มีฝีมือมาก แต่ผมมองคุณ อ้อง ออกไปแนวสากล หัวใหม่ และบางทีก็เลยเถิดถึงขึ้นว่า หลุดโลก ด้วยซ้ำ (ลองหางานบัตเตอร์ฟลายเก่าๆมาฟังจะเข้าใจว่าทำไมผมคิดแบบนั้น) แต่เพลง สนามหลวง เพลงนี้เพลงเดียว ทำให้ผมรู้ว่า "ผมคิดผิด" ซะแล้ว
หากใครเคยฟังเพลงนี้จะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า คนแต่งมีความเข้าใจในดนตรีไทยเป็นอย่างดี และสามารถฉายภาพความสำคัญของสนามหลวง ในวันเก่าๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านตัวโน้ตเพียวๆ ไม่ต้องมีเนื้อร้อง มันคือความเป็นไทยในแบบเข้ากันได้กับตัวโน้ตแบบตะวันตก
คุณสามารถหาฟังเพลงตัวอย่าง ของวงไหมไทยได้ที่ http://www.dnunet.com เข้าหน้าแรกให้ดูด้านซ้ายมือ จะมีชื่ออัลบั้มให้คลิก พอเข้าไปจะมีเพลงตัวอย่าง แต่วันนี้ผมขอจบการพูดถึงวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ จะออกไปซื้อของแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ




