วันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2552

ไหมไทย เพลงชีวิตของเด็กแว่น (ภาคแรก)

ผมขอบอกไว้ก่อนจะอ่านบทความนี้ว่า ถ้าท่านชื่นชอบ K-Otic หรือ Nice to meet you หรือ บี้เดอะสตาร์ ท่านอาจจะอ่านบทความนี้ได้ไม่ถึงครึ่งก็จะเลิกอ่าน เพราะฉะนั้น ถอยตอนนี้ยังทันนะครับ

ผมเชื่อว่า ณ วันนี้หากถามคนเดินถนนสักคนว่า รู้จักวงไหมไทยไหม ท่านจะได้รับคำตอบว่า อ๋อ รู้จัก ไหมไทย ใจตะวันไง เพราะผมเคยโดนคำตอบแบบนี้มาแล้ว สามครั้ง จากร้านขายซีดีสามแห่ง วงไหมไทย กับ ไหมไทย ใจตะวัน มันเป็นเรื่องเดียวกันได้ยังไง อันนี้ต้องไปศึกษาเรื่อง การเรียนรู้ และระบบความคิดของคนกันต่อไป แต่เอาเป็นว่า วงไหมไทย ที่ผมจะเขียนนับต่อจากนี้ไป ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับ ไหมไทย ใจตะวัน นักร้องลูกทุ่ง เลยสักนิด


(อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล)

วงไหมไทยก่อตั้งราว ๆปี 2530 (ตามประวัติที่ค้นได้) โดย อาจารย์ ดนู ฮันตระกูล ซึ่งก่อนหน้านี้อาจารย์มีงานเพลงออกบ้างแล้วเช่น ชุดเรามาร้องเพลงกัน โดยได้ คุณ เต๋อ เรวัิติ พุทธินันท์ มาร้องนำในชุดนั้น โดยหน้าปกจะเป็นดังรูป

เพลงในชุดนี้มีทั้งหมด 11 เพลง ซึ่งดูรายชื่อเพลงดูเอาจากปก (เอียงคอหน่อยนะครับ ถ้าสนใจจะรู้) งานชุดนี้ถือเป็น Master Piece สำหรับดนตรีไทยสากล ในความคิดผมจนถึงทุกวันนี้ วงคีตกวี ความจริงแล้วคือ วงดนตรี "ภาคีวัดอรุณ" (The Temple of Dawn Consort) ซึ่งวงดนตรีวงนี้ได้ก่อตั้ง โดยมีสมาชิกคนสำคัญ คือ ดนู ฮันตระกูล, สุรสีห์ อิทธิกุล, จิรพรรณ อังศวานนท์, อัสนี โชติกุล, กฤษณ์ โชคทิพย์พัฒนา, อนุวัฒน์ สืบสุวรรณ และคุณเขตต์อรัญ เลิศพิพัฒน์ (ล่วงลับไปแล้ว) ทั้งหมดปัจจุบันล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลระดับปรมาจารย์ ในสายงานดนตรีไทยสากล งานทั้งสิบเอ็ดเพลงนี้ คุณ เต๋อ ร้องออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม การใช้เสียงของคุณเต๋อ ไม่เหมือนกันเลยสักเพลง โดยเฉพาะเพลงทุกๆคน(เป็นคนดี)

เนื้อหาของทั้งสิบเอ็ดเพลงออกแนวเพลงปรัชญา ให้ข้อคิด และให้เราคิด ไม่ใช่เพลงรักเฝือฝายที่ปรากฏให้เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน เพลง ดนตรี คีตา (เวหาจักรวาล) หากฟังแบบค่อนข้างจะซีเรียส คุณจะพบการบอกถึงพุทธธรรม บวกเต๋า บวกเซนอยู่ข้างในเพลงเดียวกัน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอนประมาณมัธยม บอกตามตรงว่า "ไม่รู้เรื่องเลย" สมัยนั้นผมงงกับเพลงทั้งชุดนี้มากๆเลย ผมไม่เข้าใจว่าคนเขียนต้องการสื่ออะไรให้ผมฟัง เพลงที่เขียนมักจะออกแนว เป็นวลี ไม่ต่อเนื่อง ฟังแล้วต้องนั่งนึกกันนาน แต่ด้วยปัญญาของเด็กมัธยม (น่าจะต้น) ผมฟังรู้เรื่องแค่สองสามเพลงครับ อย่าง เรามาร้องเพลงกัน ไม่เป็นไร แต่เพลงอย่าง วีณาแกว่งไกว ดนตรี คีตา(เวหาจักรวาล) ดอกไม้ไปไหน และที่สำคัญคือเพลงที่ป้อมเขียน "ทำอยู่ทำไป" ผมหละงงสุดๆ ทั้งเพลงร้อง แต่ ทำอยู่ทำไป ทำไปทำอยู่ สลับกันไปๆมาๆ ท่านที่ไม่มีชุดนี้ ลองไปหาฟังได้ที่ อัลบั้ม เด็กเลี้ยงแกะ ของ อัสนี วสันต์ โชติกุล นะครับ พี่ป้อมพี่โต๊ะเอามาทำใหม่ให้ฟังกันชัดๆอีกที

ผมฟังอัลบั้มชุดนี้เพราะว่า มีพี่ข้างบ้านคนหนึ่งเขาขายเทป แล้วออกแนวค่อนข้างจะศิลปิน ผมซื้อเทปกับแกบ่อยมาก แต่ผมจะซื้อออกแนวเพลงตลาด วันหนึ่งแกเปิดเทปม้วนนี้อยู่หน้าร้าน ไม่ได้ขายนะ ผมก็ไม่รู้แกเปิดเพลงอะไร แต่ผมมาฟังเจอเพลง ดอกไม้ไปไหน เข้าพอดี ผมก็เลยหยุดยืนฟัง จนจบเพลงผมก็พูดก็พูดกับตัวเองว่า "เพลงห่าอะไรวะ ฟังทั้งเพลงแล้วก็ไม่รู้เรื่อง" ผมเลยเดินเข้าไปถามเฮียตี๋ (ชื่อพี่ที่ขายเทป) ว่า ตะกี้พี่เปิดเพลงอะไร พี่เขาก็บอกว่าเพลงของใคร ผมก็ขอให้เขาเปิดอีกครั้ง ผมกับเฮียตี๋ นั่งฟังเพลงนี้ทั้งม้วน ใช้เวลาร่วมกันประมาณเกือบชั่วโมง ปรากฏว่าผมยิ่งฟังยิ่งอึ้ง ผมมาเจอเนื้อเพลง ดนตรี คีตาฯ เข้าไป ทำให้วันนั้นทั้งวัน ผมรู้สึกว่า นี่เป็นการฟังเพลงไทยครั้งแรก ที่ไม่รู้ว่าคนร้องเขาจะบอกอะไรผม ถ้าท่านอยากรู้ ก็ดูตามเนื้อข้างล่างแล้วกันนะครับ

"ดนตรีคีตา เวหาจักรวาล
ดวงดาวที่เฝ้าขาน ระยิบหวานระยับหาว

หยดน้ำค้างพร่างพราย หยาดประกายพร่างพรม
คล้อยเคลื่อนเลื่อนสายลม ปรอยเมฆฝนหล่นทำนอง

สู่ยอดไม้ใกล้ฟ้า สู่ยอดหญ้าใกล้ดิน
น้ำเชี่ยวที่ไหลริน ลำธารนิ่งที่ไหลลืม

ยอดเขาเงาตระหง่าน ลมไขขานกรรโชกพัด
แพ้วพานผ่านป่าชัฏ สู่ที่สงัดในอาราม

เงียบสงบไม่เงียบเหงา พระธรรมเคล้าเข้าสวรรค์
ศีล สมาธิ ปัญญาพลัน ทำนองสรรค์สุญตา"

เพลงพวกนี้ผมว่าตอนนี้หาตามเน็ทอาจจะเจอ ถ้าสนใจก็ลองดูนะครับ แต่ผู้ที่ฟังอาจต้องใช้สมาธิในการฟังมากๆ เพราะเนื้อหา และดนตรีเหล่านี้สวยงามมาก เต็มเปี่ยมไปด้วย แนวคิด ปรัชญา ศาสนา และความเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกัน ถ้าท่านสามารถเข้าถึงได้ ท่านจะรู้สึกเหมือนมีคนไขกุญแจให้ท่านเดินเข้าไปพบด้านดีๆ ของมนุษย์ แต่ก่อนหน้านั้นอย่าเพิ่งถอดใจไปซะก่อนหละครับ เพราะว่าของดีมีไว้ให้เพียงแต่คนที่รู้จักคุณค่าเท่านั้น

หลังจากงานชุดนี้ อาจารย์ ดนู ก็ไปทำงานด้านเพลงมากขึ้น โดยการเปิดบริษัท บัตเตอร์ฟลาย และ โรงเรียนศศิลิยะ และให้กำเนิดวง
ไหมไทย ออร์เคสตร้า

สำหรับผมแล้วผมไม่ได้ฟัง ไหมไทย เรียงตามลำดับ ผมโผล่เข้ามาฟังไหมไทย ก็ปาเข้าไปชุดที่สามแล้วครับ โดยหน้าปกรวมที่ผมถ่ายเอง ไหมไทยในยุคต้นก็จะเป็นดังภาพข้างล่างนะครับ ผมอาจเรียงลำดับก่อนหลังผิด แต่ก็คิดว่าราวๆนี้แหละครับ


จากซ้ายไปขวาแถวบน
ชุด ชีพจรลงเท้า (THE JOY OF TRAVEL TALES FROM SAIYOK)
ชุด ไหมไทย 2 ทุ่งแสงทอง (Land of Golden Sun)
ชุด ไหมไทย 3 ใต้แสงเทียน (Under The Candlelight)

จากซ้ายไปขวาแถวล่าง
ชุด ไหมไทย 4 เงาไม้ (Wood Shadow)
ชุด จรัล ไหมไทย ลำนำแห่งขุนเขา (เป็นการร่วมงานกัน ระหว่าง คุณ จรัล มโนเพชร และ วงไหมไทย)
ชุด เพลงนิทาน เพลงกวี หยดฝนกับใบบัว

อย่างที่เกริ่นไว้ข้างต้นแล้ว ผมมาฟังไหมไทยในชุดที่ สาม (หน้าปกอาจารย์ดนู นั่งอยู่กับเปียโน) ความจริงเหตุจูงใจที่ทำให้ผมซื้อเทปชุดนี้มีอยู่สองข้อ คือ ชื่ออาจารย์ ดนู ฮันตระกูล และสอง ผมชอบหน้าปกชุดนี้ ผมไม่เคยฟังเพลงสักเพลงในอัลบั้มชุดนี้ก่อนที่จะซื้อ สำหรับผมเรียกว่าตัดสินใจซื้อคงไม่ได้ มันเป็นความลงตัวที่เกิดอยู่หน้าแผงเทปนั่นแหละครับ ถ้าใครเคยซื้อเทปเพราะว่าปกมันดูดี คงเข้าใจความรู้สึกของผม คือ ซื้อเพราะคิดเดาเอาว่าในเทปคงมีเพลงราวๆนี้อยู่ แต่ในความเป็นจริงกลับไปเปิดที่บ้านจะใช่หรือไม่ใช่มันอีกเรื่องหนึ่งนะครับ

ผมก็ขอพูดถึงชุด ใต้แสงเทียน (ไหมไทย 3) นี่ก่อนเลยก็แล้วกันนะครับ เพราะเป็นเหมือนตัวจุดประกายให้ผมติดตามวงไหมไทย จนถึงทุกวันนี้ (ก็สักสิบกว่าปีได้แล้วมั้งครับ) ในอัลบั้มชุดนี้มีทั้งหมด เก้าเพลง เป็นเพลงเก่าอย่างเช่น ลมหวล วิหคเหิรลม อิเหนา ขวัญเรียม และลาวดวงเดือน และเพลงใหม่อย่าง เพลง สวนอัมพร ภูหนาว และ สนามหลวง เพลงทั้งหมด ถ่ายทอดออกมาได้อย่างละเมียดละไม ด้วยเสียงเปียโนและ เครื่องสาย ผมรู้สึกว่ามันหวาน แบบมีมนต์ขลังของคืนวันเก่าๆในสมัยก่อน ผมเองเกิดไม่ทันยุคนั้นหรอกนะครับ แต่ผมรู้สึกว่าการนำดนตรีตะวันตกมาเล่นเพลงไทย หากมีการเรียบเรียงดนตรีให้ดี และเข้าใจความเป็นเพลงไทย เพลงจะออกมาสวยงามมาก ซึ่งสิ่งนี้ผมว่ามีอยู่อย่างเต็มเปี่ยมในตัวอาจารย์ดนู

ถ้านับเฉพาะเพลงที่ผมชอบจริงๆ แบบเปิดฟังได้ไม่รู้เบื่อ ก็น่าจะเป็น ภูหนาว กับ สนามหลวง ผมชอบสองเพลงนี้ เพราะว่าเพลง ภูหนาว เป็นการถอดความจากบทกวี ของ กวีรัตนโกสินทร์อย่าง อาจารย์ เนาวรัตน์ พงศ์ไพบูลย์ ออกมาให้เป็นเพลง ผมกล้ารับประกันได้เลยว่า เพลงนี้ใครฟังแล้วไม่รู้สึกว่ามันเย็น นิ่ง และ สงบ ให้มาดีดติ่งหูผมได้เลย เป็นบทเพลงที่ฟังง่ายมาก ไม่ต้องดูชื่อเพลงก็รู้แล้วว่าคนแต่งอยากให้เราร่วมสัมผัสบรรยากาศแบบไหน อย่างไร ตอนผมฟังเพลงนี้จบผมยังรู้สึกอึ้งๆอยู่เลย คือ อารมณ์มันยังไม่กลับมา พอขึ้นเพลงใหม่ มันก็ยังเหมือนลอยเคว้งๆ อยู่พักนึง จึงค่อยกลับมาอยู่ในสภาพปรกติ ส่วนเพลงสนามหลวง อันนี้ แต่งโดย คุณ สุรสีห์ อิทธิกุล ตอนนั้นผมรู้จักแต่เพียงว่า คุณ อ้อง เป็นหนึ่งในสมาชิกวง บัตเตอร์ฟลาย ที่มีฝีมือมาก แต่ผมมองคุณ อ้อง ออกไปแนวสากล หัวใหม่ และบางทีก็เลยเถิดถึงขึ้นว่า หลุดโลก ด้วยซ้ำ (ลองหางานบัตเตอร์ฟลายเก่าๆมาฟังจะเข้าใจว่าทำไมผมคิดแบบนั้น) แต่เพลง สนามหลวง เพลงนี้เพลงเดียว ทำให้ผมรู้ว่า "ผมคิดผิด" ซะแล้ว

หากใครเคยฟังเพลงนี้จะเข้าใจได้เป็นอย่างดีว่า คนแต่งมีความเข้าใจในดนตรีไทยเป็นอย่างดี และสามารถฉายภาพความสำคัญของสนามหลวง ในวันเก่าๆ ได้อย่างชัดเจน ผ่านตัวโน้ตเพียวๆ ไม่ต้องมีเนื้อร้อง มันคือความเป็นไทยในแบบเข้ากันได้กับตัวโน้ตแบบตะวันตก

คุณสามารถหาฟังเพลงตัวอย่าง ของวงไหมไทยได้ที่ http://www.dnunet.com เข้าหน้าแรกให้ดูด้านซ้ายมือ จะมีชื่ออัลบั้มให้คลิก พอเข้าไปจะมีเพลงตัวอย่าง แต่วันนี้ผมขอจบการพูดถึงวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อนนะครับ จะออกไปซื้อของแล้วครับ ไว้เจอกันใหม่ครับ

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2552

เมื่อผมรู้จัก The Square

สมัยผมเรียนอยู่ อัสสัมชัญ (บางรัก) ผมมีความใฝ่ฝันว่า วันหนึ่งผมจะเป็นนักดนตรี แต่เนื่องด้วยเหตุผลหลายๆอย่างทำให้ผมไม่สามารถเป็นได้ แต่ก็พอเล่นกีต้าร์ได้บ้าง ถึงแม้จะไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นนักดนตรี ผมเรียนรู้ดนตรีจากการฟังเป็นหลัก ทฤษฎีสำหรับผม หากมีการสอบก็คงตก วงดนตรีที่มีอิทธิพลต่อผม ในช่วงแรกของชีวิต มีอยู่ หลายวง ไม่ว่าจะเป็น แกรนด์เอ็กซ์ ดิอินโนเซ้นท์ บัตเตอร์ฟลาย คุณเต๋อ (อันนี้เดี่ยว) เบิร์ดกะฮาร์ท ดิอิมพอสซิเบิล (อันนี้ฟังตามคุณพ่อ) และขอเขียนแสดงความอาลัยต่อการจากไปของคุณ ปราจีน ทรงเผ่า (หนึ่งในสมาชิกที่สำคัญของวง ดิอิมพอสซิเบิล)นักดนตรี และนักเรียบเรียงเสียงประสานที่มีฝีมือมากคนหนึ่งของเมืองไทย ส่วนสองวงสุดท้ายนี่คือวงที่ผมอยากจะเขียนถึงมากที่สุด คือ วงไหมไทย และ วง The Square (T-Square ในปัจจุบัน)

ผมจะไม่พูดถึงวงไหมไทย ก่อนนะครับ เนื่องมาจากเป็นวงที่ผมสามารถเขียนถึงได้อีกหนึ่งบทความเต็มๆ จึงขอหยุดเรื่องวงไหมไทยไว้แต่เพียงเท่านี้ก่อน ผมจะเล่าถึงการตกหลุมรักบทเพลงของวง The Square ฟิวชั่น แจ๊ส แบนด์ ระดับตำนานของญี่ปุ่นล้วนๆเท่านั้น

จำได้ว่าสมัยก่อนวงดนตรีประจำโรงเรียน เคยเล่นบทเพลงนึงซึ่งผมฟังแล้วรู้สึกดีมากๆ มันเป็นเพลงที่ให้บรรยากาศที่สนุกสนาน ผมฟังเพลงนี้ครั้งแรกตอน มัธยมปีที่สี่ บทเพลงอื่นที่ เอซี แบนด์เล่น ถึงมันจะเพราะยังไง ผมก็ไม่เคยรู้สึกอยากจะรู้ว่าเพลงนี้ชื่ออะไร จนมาเจอเพลงนี้เข้า ทุกท่อนของบทเพลงนี้แฝงไปด้วยพลัง ไลน์ประสานเสียงที่เข้าออกอย่างเหมาะเจาะ ช่วงโซโลกีต้าร์พริ้วไหวอย่างมีชั้นเชิง (แต่เวอร์ชั่นที่ผมฟังเป็นเครื่องเป่าล้วนๆ) ผมฮัมเพลงนี้ในปากวนไปวนมาหลายรอบ แล้วรีบวิ่งไปหาเพื่อนที่เป็นนักดนตรีเมื่อเล่นจบ สอบถามทันทีว่า ไอ้เพลงที่ผมฮัมอยู่เนี่ยชื่ออะไร ก่อนจะได้คำตอบเพื่อนผมมันยิ้ม (ไอ้นี่ชื่อ อ๊อด เล่น อัลโต แซ็คโซโฟน) มันบอกว่า "Omens of Love" ผมก็ถามต่อไปว่าใครร้องเหรอเพลงนี้ มันก็หัวเราะแล้วบอกว่า เพลงนี้ไม่มีคนร้องนะ มันเป็นเพลงบรรเลง แล้วมันก็บอกชื่อวงให้ผมทราบว่า ชื่อ "The Square"

ผมมานึกอยากได้เพลงนี้เก็บไว้เปิดไปมาหลายๆรอบเพื่อฟังที่บ้าน ผมก็เลยถามมันว่า "มึงมีเทปให้กูดั๊บไหม" คำตอบคือไม่มี ผมเลยตั้งเป้าไว้ว่าเย็นๆนี้หลังจากเลิกเรียนแล้ว ผมจะลองแวะไปที่ห้าง เซ็นทรัล สีลม (ตอนนี้ปิดไปแล้ว) หากใครอายุราวๆผม จะพอเข้าใจว่าทำไมผมถึง ไปแผนกเพลงของเซ็นทรัลสมัยนั้น ก็เพราะสมัยนั้น เซ็นทรัล เป็นแหล่งที่มีเทป และแผ่นเสียง แปลกๆให้เลือกซื้อเยอะที่สุดแล้ว การไปครั้งนั้นของผมต้องพบกับความผิดหวัง เพราะคนขายบอกว่าเขาไม่รู้จักวงนี้ ผมเลยเบนเข็มไปที่ เซ็นทรัล ชิดลม (วันต่อมา) แต่ก็ไม่พบเช่นกัน ผมวิ่งไปทุกแหล่งที่คิดว่าน่าจะมีเทปเพลงของวงนี้ขายอยู่บ้าง แต่คำตอบที่ได้มา คือ ไม่มี

ผมเริ่มท้อใจในการหาเพลงนี้แล้ว หลังจากใช้ความพยายามอยู่ร่วมสามเดือน แต่แล้วคำว่า Labor Omnia Vincit (ทุกสิ่งทุกอย่างเอาชนะได้ด้วยความพยายาม) ที่อยู่ใต้โล่ห์ ของคณะเซนต์คาเบรียล ก็เป็นจริง ผมเจอจนได้ มันวางขายอยู่ในร้านโซล่า เฮ้าส์ที่สยาม "ผมได้แล้ว ๆ" เทปเพลงสมัยก่อนที่เป็นลิขสิทธิ์ ราคาขายจะอยู่ราวๆ เจ็ดสิบกว่าบาท ซึ่งก็หนักหนาเอาการอยู่สำหรับค่าขนมของผม แต่ผมก็ไม่ลังเลที่จะซื้อ เพราะสิ่งที่ผมตามหามาสักพัก จนเกือบจะเลิกหาแล้ว มันโผล่มาอยู่ตรงหน้าผมแล้ว

หน้าปกของชุดนี้จะมีลักษณะเดียวทั้งเทป และ ซีดี(ที่ออกมาทีหลัง) ชื่อชุดคือ รีสอร์ท (RESORT) เพลงทั้งหมดที่บรรจุอยู่ในชุดนี้มี 9 เพลง ที่ผมจำได้แม่นๆแบบไม่ต้องกลับไปเปิดโพย ก็มี Omens of Love, In the Grid, Prime และ Forgotten Saga ส่วนเพลงที่เหลือผมก็ชอบนะครับ แต่พอดีผมจำชื่อไม่ได้หมด สิ่งที่ผมได้รับหลังจากการฟังชุดนี้แล้วก็คือ "การเปิดโลกดนตรีอย่างใหม่" ให้กับผม สารภาพตามตรงว่า ก่อนมาฟังเพลงของ The Square ผมชอบวงดนตรีไทย มาก่อนหน้านี้แล้ว ทั้ง Butterfly, Grand Ex', The Innocent รวมทั้งคาราบาวด้วย ทุกวงมีเอกลักษณ์ของตนเอง อย่างเช่น บัตเตอร์ฟลาย จะเป็นวงดนตรีที่มีจินตนาการในการนำเสนอและรูปแบบดนตรีที่ค่อนข้างจะหลุดโลก แต่เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณภาพ แกรนด์เอ็กซ์สำหรับผม คือ เพลงหวาน ซึ้งกินใจ ถือเป็นเพลง แสตนดาร์ด แต่การฟัง ดนตรีแนว The Square มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยฟัง ผมเองยังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า เพลงแนวนี้มีนิยามว่ายังไง รู้แต่ว่าฟังแล้วรู้สึกหัวมันโปร่ง เราไหลไปตามเพลงได้ โดยที่ไม่ต้องมีเนื้อร้อง ท่วงทำนองของเพลงกำหนดความเป็นไปของจิตใจได้เลย โดยไม่ต้องอาศัยเนื้อร้อง สำหรับผม (ตอนมัธยมสี่) แล้ว ดนตรีแนว ฟิวชั่นแจ๊ส เป็นการทำให้ผมได้รู้จักด้านใหม่ๆของดนตรี

สิ่งที่ผมได้มาพบอีกประการหนึ่งในงานชุดนี้ก็คือ เพลง Forgotten Saga เพลงหวานและสวยเพลงหนึ่งเท่าที่ผมเคยฟังมา ได้มีวงดนตรีไทยเอาทำนองมาใช้และใส่เนื้อร้องไปแล้ว พอได้ฟังท่อนแรกของ Forgotten Saga ผมก็อุทานกับตัวเองว่า "อ้าวเฮ้ย นี่มันเพลงกระดาษขาวนี่หว่า" หากใครพอจะรู้จักวงดินสอดำ สมัยกระโน้น ที่มีคุณ กริช ธอมมัส ร่วมวงอยู่ คงเคยได้ยินเพลงที่ร้องว่า "จากใจความถอดไว้ ใส่บนความขาวของกระดาษ ลายมือไม่สะอาดอย่าสนใจ......" เพลงนี้เป็นเพลงที่ใช้ในโฆษณาขายเทปของวงนี้ด้วย กลายเป็นว่า ผมรู้จักเพลง Forgotten Saga ก่อนจะรู้จักต้นฉบับ โดยผ่านเพลง กระดาษขาว นี่เอง

ผมจะไม่บรรยายว่าเพลง ฟิวชั่น แจ๊ส เป็นอย่างไร เพราะของแบบนี้อธิบายด้วยคำพูดไม่ได้ ถ้าอยากรู้จักเพลง ต้องฟังอย่างเดียวเท่านั้น การให้นิยามมันเป็นแค่ทฤษฎี แต่ที่สำคัญที่สุดคือคุณต้อง "Feel" เพลง ไม่ใช่แค่ฟัง

จริงๆเมืองไทยก็มีวงดนตรีที่ทำงานแนวฟิวชั่น แจ๊ส ออกมาอย่างต่อเนื่องและยาวนานมาก อยู่วงหนึ่ง คือ วง ดิ อินฟินิตี้ ที่มีนักดนตรี ชั้นเซียนอยู่มากมาย ไม่ว่าจะเป็น คุณ ศรายุทธ สุปัญโญ คุณ ชุมพล สุปัญโญ คุณ โก้ เสกพล อุ่นสำราญ(ลาออกแล้ว) ฯลฯ ซึ่งมีงานออกมาให้คนไทยได้ฟังอยู่เสมอ แต่เนื่องด้วยแนวเพลงนี้ไม่ค่อยได้รับการโปรโมท อีกทั้งนักดนตรีหน้าตาไม่หล่อ เลยทำให้วงนี้คงไม่เป็นที่คุ้นหูของเด็กรุ่นใหม่ หรือ ผู้ใหญ่หลายๆคน และหลายๆครั้ง วงอินฟินิตี้ ก็ทำงานออกมาในแบบไม่เอาใจตลาดเลย อย่างเช่น ชุด Together ที่หน้าปกเป็นรูป ช้อนกับส้อม สังกัด โซนี่ ไทย ก็มีเพลงร้องเป็นภาษาอังกฤษล้วนทั้งชุด

หลังจากเบิกฤกษ์ด้วยชุดนี้แล้วผมก็ติดตามงานของ T-Sqaure มาตลอด ในบ้านตอนนี้มีมากกว่าสิบห้าชุด ผมไม่ได้เก็บครบทุกชุด แต่ก็เก็บมากพอที่จะฟังได้อย่างที่ผมคิดว่า ผมเข้าใจว่าวงนี้ทำงานเพลงแบบไหน การเปลี่ยนแปลงสมาชิกในวง ทำให้แนวทางของเพลงเปลี่ยนไปอย่างไร นอกจากติดตามงานเพลงของ T-Square แล้ว ผลงานเดี่ยว ของสมาชิกในวง อย่าง มาซาฮิโระ อันโดะ (หัวหน้าวง) ผมก็ซื้อมาทั้ง ชุด Andy's และ เพลงที่ทำให้กับเกมส์ยักษ์ใหญ่ อย่าง แกรนทัวริสโม่ (GT) ผมอยากบอกว่าไลน์กีต้าร์ของ อันโดะ มีเอกลักษณ์ อาจไม่หวือหวามาก แต่ในความมีระเบียบก็แฝงความปั่นป่วนและกระชากอารมณ์คนฟังให้ขึ้นสูง หรือลงต่ำได้อย่างมีชั้นเชิงทีเดียว

T-Square ในความทรงจำของผมและคิดว่าเป็นช่วงที่ดีที่สุดในการรวมตัวกันของวงนี้ จะอยู่ราวๆปี 1991-1998 ที่มี

มาซาฮิโระ อันโดะ เล่นกีต้าร์
ฮิโรทากะ อิซูมิ เล่นเปียโน
ฮิโรยุกิ โนริตาเกะ เล่นกลอง หรือ เครื่องเคาะจังหวะ
มิตซูระ ซูโตะ เล่น เบสกีต้าร์
และ มาซาโตะ ฮอนดะ เล่นแซ็กโซโฟน จริงๆ จะมีเทด นัมบะ เข้ามามีบทบาทในช่วงหลังมากขึ้น (แซ็คฯที่มาแทน ฮอนดะ) แต่ผมกลับไม่ค่อยจะชอบแนวของชายร่างใหญ่คนนี้เท่ากับ ฮอนดะ

The Square เป็นเหมือนวงดนตรีที่เปิดโลกทัศน์ในการฟังดนตรีให้กับผม เป็นวงที่มีอิทธิพลต่อการฟังแนวสกา ฯลฯ ที่สำคัญที่สุดวงนี้ได้บอกผมว่า "อย่าหยุดที่จะทำความเข้าใจกับดนตรี มันยังมีอะไรที่คุณยังไม่รู้ ไม่ได้ฟังอีกมาก ถ้าคุณเปิดใจลองฟังดู คุณจะมีทางเลือกมากขึ้น ฟังแล้วไม่ชอบ ก็ไม่ต้องฟัง แต่สิ่งที่สำคัญคือ คุณได้ให้โอกาสกับตัวเองในการพบเจอสิ่งใหม่ๆ บ้างหรือยัง"